สังคม

ยายวัย 86 วอนช่วย ถูกนายทุนดอกเบี้ยโหดยึดที่ดิน ซ้ำทนายเก๊หลอกสูญเงิน 1.3 แสน

โดย chutikan_o

9 มี.ค. 2566

146 views

ยายวัย 86 ถูกนายทุนดอกเบี้ยโหดยึดที่ดิน ซ้ำโดนทนายเก๊หลอกสูญเงินอีก 1.3 แสนบาท ทนายโป้งชี้เข้าข่ายฉ้อโกง แนะแจ้งความเอาผิด ส่วนที่ดินต้องลองเจรจาขอซื้อคืน


วันนี้ (9 มี.ค. 66) เวลา 08.00 น. นางเคน ปุริทัศน์ อายุ 86 ปี พร้อมด้วยนางบุญโลม ปุริทัศน์ อายุ 60 ปี สองแม่ลูกชาว จ.กาฬสินธุ์ เดินทางเข้าพบนายเกียรติคุณ ต้นยาง หรือ ทนายโป้ง ประธานชมรมทนายความจิตอาสา เพื่อให้ช่วยเหลือกรณีนำโฉนดที่ดิน จำนวน 36 ไร่ 1 งาน เอาไปจำนองไว้กับสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง จำนวน 500,000 บาท ดอกเบี้ยที่โฆษณาร้อยละ 1.25 บาท ต่อเดือน หลังทำสัญญาเสร็จพบดอกเบี้ยพุ่งสูงถึงร้อยละ 5 ต่อเดือน ซึ่งไม่ตรงตามที่โฆษณา นายทุนแนะกู้เพิ่มอีก 200,000 หักดอกเก่า-ใหม่ สุดท้ายค้างดอกเบี้ยหลายเดือน นายทุนฟ้องยึดที่ ก่อนรับซื้อไว้เองแล้วขายทอดตลาดให้บุคคลที่สาม ทำยายเดือดร้อนหนัก ไร้ที่ทำกิน


ขณะเดียวกันหลานชายโพสต์เฟสบุ๊กขอความเป็นธรรม ชาวโซเชียลแห่คอมเมนต์ให้กำลังใจคุณยายอย่างท่วมท้น ทางด้านคุณยายกับลูกสาวหอบเอกสารพร้อมหลักฐานสำคัญ ตระเวนขอความเป็นธรรม วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือ กลับไร้การเหลียวแล


นางบุญโลม กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 ก.ค.54 เธอจะประกอบกิจการค้าขายอาหาร และเปิดร้านขายของชำ แต่ไม่มีเงินทุน จึงนำโฉนดที่ดินจำนวน 36 ไร่ 1 งาน ซึ่งเป็นที่ดินของคุณแม่ ไปจำนองไว้ที่ร้านทองแห่งหนึ่งใน อ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ จำนวน 300,000 บาท จ่ายดอกเบี้ยเดือนละ 15,000 บาท (หรือร้อยละ 5 บาท) หลังจากส่งดอกเบี้ยได้ประมาณ 4 เดือน สังเกตเห็นป้ายโฆษณารับจำนองที่ดินของสถาบันการงานแห่งหนึ่ง คิดดอกเบี้ยร้อยแค่ละ 1.25 บาท/เดือน ซึ่งถูกกว่าร้านทองที่เอาที่ดินไปจำนองไว้ก่อนหน้านี้


ต่อมาวันที่ 23 ม.ค.55 เธอกับเเม่จึงไปยื่นเรื่องกู้เงินกับสถาบันการเงินแห่งใหม่ จำนวน 500,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 1.25 ต่อเดือน หรือ 6,250 บาท หลังจากทำสัญญาเสร็จ ปรากฎว่าดอกเบี้ยไม่เป็นไปตามที่โฆษณาระบุเอาไว้ โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 5 บาทต่อเดือน ซึ่งราคาเท่ากับที่เก่า แต่เนื่องจากทำสัญญาไปแล้วสุดท้ายก็ต้องจำใจยอมรับสภาพแต่โดยดี ซึ่งเธอต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยที่กู้มา 500,000 บาท เดือนละ 35,000 บาท หรือ ร้อยละ 5 ต่อเดือน หลังจากนั้นจึงนำเงินจำนวนดังกล่าวไปปิดยอดเงินกู้จากเจ้าเเรก จำนวน 370,000 บาท เหลือเงินส่วนต่างหลังปิดยอดเก่าจำนวน 130,000 บาท จนกระทั่งเดือน มกราคม ปี 2557 เศรษฐกิจไม่ดี ของก็ขายไม่ค่อยได้ จึงทำให้ขาดส่งค่าดอกเบี้ยจำนวน 6 เดือน คิดเป็นเงิน 150,000 บาท ดังนั้นนายทุนจึงให้มาเปลี่ยนสัญญาการกู้เงินใหม่อีกครั้งจากยอดเดิม 500,000 บาท เพิ่มวงเงินเป็น 700,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 5 บาทต่อเดือนเท่าเดิม ซึ่งวงเงินที่เพิ่มมา 200,000 บาทนั้น นายทุนได้นำไปหักกับดอกเบี้ยที่ค้างเอาไว้ก่อนหน้านี้ ส่วนเงินที่เหลือนายทุนได้เอาไปหักกับดอกเบี้ยล่วงหน้าที่ยังไม่ครบกำหนดจ่าย ซึ่งยอดเงินที่เพิ่มมาทั้งหมดเธอไม่ได้รับแม้เเต่บาทเดียว หลังจากเพิ่มวงเงินต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มเป็นเดือนละ 35,000 บาท บางเดือนมีก็จ่าย บางเดือนไม่มีก็ค้างไว้ก่อน จนกระทั่งต้นปี 2556 มีหมายศาลมาที่บ้านเกี่ยวกับการกู้เงินดังกล่าว โดยระบุว่าเป็นหนี้ทั้งหมดจำนวน 1.7 ล้านบาท ตอนนั้นเธอกับเเม่ตกใจมากจึงรีบไปพบนายทุนที่บริษท ซึ่งพนักงานเเจ้งว่าไม่ต้องไปศาล ให้นำเงินมาชำระตามปกติ จึงพยายามหาหยิบยืมเงินมาชำระให้ตรงตามกำหนด แต่ก็มีบ้างบางเดือนที่ค้างชำระ แต่ก็จ่ายมาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งมีหนังสือจากกรมบังคับคดี จ.กาฬสินธุ์ มาที่บ้านโดยระบุข้อความว่าให้ไปพบเจ้าหน้าที่ภายในวันที่ 2 ก.ย.59 เนื่องจากที่ดินดังกล่าวจะทำการขายทอดตลาด เธอกับแม่จึงเดินทางไปที่กรมบังคับคดี ปรากฎว่ามีคนมาซื้อที่ดินของเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งคนที่ซื้อก็คือบริษัทที่รับจำนองที่ดินของเธอนั่นเอง และในวันเดียวกันนายทุนได้ทำการขายต่อที่ดินให้กับบุคคลที่สามทันที


จากนั้นจึงไปปรึกษากับนักกฎหมาย และแต่งตั้งทนายความให้ระงับการซื้อขายที่ดินดังกล่าวโดยเสียค่าใช้จ่ายให้ทนายความทั้งหมดจำนวน 130,000 บาท แต่สุดท้ายทนายความที่แต่งตั้งกลับไม่ได้ดำเนินการยื่นเรื่องคัดค้านแต่อย่างใด เเละมาทราบภายหลังว่าทนายคนดังกล่าวถูกเพิกถอนใบอนุญาตไปก่อนหน้านี้แล้ว และไม่สามารถรับว่าความได้อีก จึงทำให้ที่ดินของเธอเปลี่ยนผู้ครองโดยชอบด้วยกฎหมายไปโดยปริยาย


หลังจากนั้นจึงต่อสู้ยื่นเรื่องร้องเรียน ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือ และแต่งตั้งทนายความคนใหม่เพื่อต่อสู้คดี เกี่ยวกับที่ดินปรปักษ์ ต่อมาปี 2560 ศาลชั้นต้นตัดสินให้แพ้คดี จากนั้นปี 2562 ศาลอุทธรณ์ตัดสินให้ชนะคดี ล่าสุดวันที่ 28 ก.พ.66 ศาลฎีกาตัดสินให้เธอแพ้คดี


นางบุญโลม กล่าวอีกว่า ตลอดระยะเวลา 12 ปี ที่ผ่านมาครอบครัวของเธอพยามยามต่อสู้ทุกช่องทางเพื่อทวงคืนที่ดินของคุณแม่ที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษให้กลับคืนมาสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน แต่เนื่องจากครอบครัวไม่ได้มีฐานะร่ำรวย เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา หาเช้ากินค่ำ จบแค่ชั้น ป.4 ไม่มีความรู้ และไม่มีอะไรที่จะไปสู้รบกับกลุ่มของนายทุนได้ จึงทำให้ที่ดิน 36 ไร่ 1 งาน ตกไปเป็นของคนอื่น ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้เชื่อว่าครอบครัวของเธอไม่ได้รับความเป็นธรรม ที่ผ่านมาไปยื่นเรื่องร้องเรียนและร้องทุกข์กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกที่ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครช่วยเหลือ วันนี้จึงตัดสินใจเดินทางจากกาฬสินธุ์ เข้ามาพบทนายโป้งซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้าย ขอให้ทนายโป้งช่วยเรียกร้องความเป็นธรรมก่อนที่จะถูกขับไล่ออกจากที่ดินซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ


ขณะที่ยายเคน อายุ 86 ปี เจ้าของที่ดิน กล่าวด้วยน้ำตาพร้อมยกมือไหว้ว่า ขอร้องให้ทนายโป้งช่วยเรียกร้องความเป็นธรรมและขอให้เอาที่ดินของยายกลับคืนมา ฝากไปถึงคนที่เอาที่ดินของยายไปว่า ยายอยู่ที่ดินตรงนี้มาตั้งแต่เกิด เป็นที่ดินที่ยายได้รับมรดกมาจากปู่ย่าตายาย ซึ่งยายตั้งใจจะเก็บเอาไว้ให้ลูกหลาน จะให้ยายซื้อคืนก็ได้ อย่าทำกับยายแบบนี้เลย เห็นใจยายเถอะ ตอนนี้ยายไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่ให้ลูกหลานทำมาหากินแล้วต้องเร่ร่อนไปอาศัยหลานอยู่ ขอให้ช่วยยายด้วยเถอะ


ด้านทนายโป้ง กล่าวว่า หลังจากที่ได้พูดคุยกับคุณยายและตรวจสอบเอกสารหลักฐานเบื้องต้น ทราบว่าคุณยายได้ไปทำสัญญาจำนองที่ดินไว้จริง แต่สัญญาที่ทำกับจำนวนเงินที่ได้มันไม่ตรงกัน โดยสัญญาระบุว่าจำนวนเงินเกินกว่าที่คุณยายได้รับมา แต่คุณยายก็จ่ายดอกเบี้ยถูกต้องครบถ้วนมาตลอด จนกระทั่งวันที่ถูกฟ้องคุณยายกับลูกก็ได้ไปหาโจทก์ ซึ่งทางโจทก์บอกกับคุณยายว่าถ้าจ่ายดอกเบี้ยตลอด ทางเขาก็จะไม่ฟ้องและคุณยายก็ไม่ต้องไปศาล สุดท้ายมีการบังคับคดีขายที่ดินทอดตลาด ซึ่งคุณยายก็ไปติดต่อที่กรมบังคับคดี โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่าทางโจทย์ได้ทำการซื้อที่ดินของคุณยายและขายทอดตลาดไปแล้ว คุณยายถึงรู้ตัวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาถูกหลอก จึงแนะนำไปว่าถ้าข้อเท็จจริงเป็นแบบนี้ เข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกง เพราะเรื่องของการกู้ยืมการจำนองมันมีอยู่จริง ซึ่งเวลาที่คุณไปฟ้องเขา คุณไปบอกกับเขาว่าถ้าจ่ายดอกเบี้ยแล้วจะไปถอนฟ้องเเละจะไม่ฟ้องแล้ว คุณยายและลูกหลานเขาก็จ่ายดอกครบถ้วนมีหลักฐานการโอนทุกอย่าง การกระทำแบบนี้ถือว่าเป็นการหลอกลวง กล่าวข้อความอันเป็นเท็จ ทำให้บุคคลอื่นหลงเชื่อ เสียทรัพย์สิน เงินทอง ก็เป็นเรื่องของการฉ้อโกง เบื้องต้นแนะนำให้คุณยายไปแจ้งความดำเนินคดีกับโจทก์ของคุณยาย


ส่วนเรื่องของการเจรจาขอซื้อที่ดินคืน เนื่องจากทรัพย์นั้นถูกซื้อโดยบุคคลที่สามไปแล้ว และมีการขายทอดตลาด ซึ่งมีการคุ้มครองตั้งแต่คนเเรก นอกจากนี้บุคคลที่สามได้มีการซื้อขายโดยสุจริต เปิดเผย เสียค่าตอบแทน ได้รับกฎหมายคุ้มครอง คุณยายต้องลองติดต่อเจรจาขอซื้อคืนในราคาที่เหมาะสม ซึ่งก็ต้องแล้วเเต่ว่าเขาจะยอมหรือไม่


“สุดท้ายนี้อยากจะฝากไปถึงพี่น้องประชาชนทุกท่านที่คิดจะแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน ควรจะนำทรัพย์สินของท่านไปฝากไว้กับสถาบันการเงินที่มีชื่อเสียงหรือบริษัทห้างร้านที่มีความน่าเชื่อถือ และมีหลักประกันที่แน่นอน อย่าได้หลงเชื่อโดยที่มิได้มีการตรวจสอบ มิฉะนั้นท่านอาจจะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพทำให้เกิดความเสียหายตามมาภายหลังได้” ทนายโป้งกล่าว

คุณอาจสนใจ

Related News