สังคม

ชาวเลบุกกรุงฯ ทวงคืนแผ่นดินเกาะหลีเป๊ะ หลังคดียืดเยื้อ

14 ม.ค. 2566

270 views

ชาวเลอูรักลาโว้ย ออกเดินทางจากเกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล มายังกรุงเทพมหานคร เพื่อทวงคืนแผ่นดินชาวเล หลังไม่ได้รับความเป็นธรรมในสิทธิที่อยู่อาศัย ซึ่งมีผลการสอบสวนของคณะกรรมการหลายชุดว่าที่มาของเอกสารสิทธิ์บนเกาะหลีเป๊ะ ออกโดยมิชอบ และมีความเห็นให้กรมที่ดินเพิกถอน แต่ไม่ได้ดำเนินการมากว่า 30 ปีแล้ว ในขณะที่ชาวเลจำนวนไม่กี่คนเท่านั้น ที่สามารถทวงสิทธิ์มาได้แต่ต้องผ่านการต่อสู้กับอิทธิพลหลายรูปแบบ สะท้อนปัญหาว่าทำไม ชาวเล ที่มีชื่อใน สค.1 เดิม กลับไม่ได้เป็นเจ้าของเอกสารสิทธิ์ในปัจจุบัน



ตัวแทนชาวเลอูรักลาโว้ยกว่า 10 คนออกเดินทางจากเกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล เดินทางมายังกรุงเทพมหานครเพื่อพบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงปัญหาที่ดินเกาะหลีเป๊ะ และทวงคืนสิทธิในที่อยู่อาศัยของชาวเลในฐานะผู้บุกเบิก



การเดินทางเข้ากรุงเทพของชาวเลเกาะหลีเป๊ะเป็นไปตามมติของชาวเล ที่ร่วมกันทำประชาคมเห็นด้วยให้มีการตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ที่ดินเกาะหลีเป๊ะทั้งเกาะ โดยเฉพาะที่ดินโรงเรียนบ้านเกาะหลีเป๊ะ และยุติข้อพิพาทถนนด้านข้างโรงเรียนที่ชาวบ้านยืนยันว่าเป็นทางสัญจรตั้งแต่สมัยโบราณกว่า 100 ปีแล้ว



และผลการตรวจสอบของคณะกรรมการหลายชุดในอดีต ต่างมีความเห็นว่าที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะส่วนใหญ่ออกมาโดยมิชอบ นอกจากรายงานของนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อปี 2533 หรือ 33 ปีก่อนมีข้อสั่งการให้กรมที่ดินและจังหวัดสตูล เร่งรัดการขอเพิกถอน ส.ค.1 จำนวน 17 แปลง และ น.ส.3 จำนวน 12 แปลงที่ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมายโดยเร็ว



ยังมีรายงานผลการตรวจสอบที่ดินชาวเลเกาะหลีเป๊ะ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ชุดนายเสน่ห์ จามริก เป็นประธานเมื่อปี 2549 ที่นายลาโบ๊ะ หาญทะเลกับพวก ร้อง นายบรรจง อังโชติพันธุ์ และเครือญาติ และเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสตูล ที่ตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ ส.ค. 1 จำนวน 41 แปลง และ นส.3 จำวน 19 แปลง พบข้อพิรุธในการออก นส.3 โดยเปรียบเทียบกับรายการบ้านและบุคคลในทะเบียนบ้านจากสำนักทะเบียนกลาง และสำเนาที่อำเภอเมืองสตูล ส่อให้เห็นว่าการออกเอกสารสิทธิ์ น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย



เช่น พบว่าในการเปลี่ยน ส.ค.1 ที่มีชื่อ นายหลิง หาญทะเล ซึ่งเป็นชาวเล ในปี 2510 ได้มอบอำนาจให้บุคคลอื่น โดยระบุเลขที่บ้านที่เป็นของพยานไม่ใช่เลขที่บ้านของนายหลิงจริง ต่อมานายหลิงได้รับ นส.3 ในปี 2516 ในชื่อนายหลิง แต่ได้ขายให้บุคคที่มอบอำนาจให้ในวันเดียวกัน ซึ่งพบลักษณะการออกเอกสารแบบนี้ในอีกหลายแปลง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจึงมีความเห็นเสนอให้กระทรวงมหาดไทยเพิกถอนนส.3 ในเกาะหลีเป๊ะ ที่ออกโดยมิชอบ และให้ออกเอกสารสิทธิ์ ตาม ส.ค.1 ให้ถูกต้อง โดยให้ดำเนินการภายใน 6 เดือนตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งจนถึงวันนี้ก็ยังไม่ดำเนินการ



ในจำนวนชาวเลที่สามารถรักษาที่ดินของตัวเอง และเอาตัวรอดจากกระบวนการเปลี่ยนมือเอกสารสิทธิ์ของชาวเล และสามารถทำธุรกิจรีสอร์ทเล็กๆในที่ของบรรพบุรุษ มีเพียงไม่ถึง 5 ราย เช่น นางสาวนภัสรัตน์ หาญทะเล เธอเป็นเจ้าของ ซะนอม ซันไรท์ บีช รีสอร์ท ซึ่งตั้งตามชื่อของปู่ ที่อาศัยอยู่ที่นี่ จนมาถึงรุ่นพ่อและเธอที่ทำรีสอร์ทนี้มากว่าปี แล้วตั้งแต่เธออายุเพียง 20 กว่าปี เพราะลุกขึ้นสู้จากเอกชนรายหนึ่งที่อ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดินผืนนี้ จนชนะคดี แต่ต่อมามีอีกรายมาอ้างสิทธิ์ และมีการใช้ปืนข่มขู่ให้ขายที่ดิน แต่เธอไม่ยอมเซ็นต์ และเดินทางไปร้องเรียนที่สภาทนายความ แต่ก็ถูกคุกคามอีกหลายครั้งจนเธอแอบบันทึกเสียงไว้เป็นหลักฐาน ทำให้รอดพ้นจากอิทธิพลในครั้งนั้น



นางสาวนภัสรัตน์ เปิดเผยว่า เธอได้รับอนุญาตให้ประกอบการรีสอร์ทตามมติ ครม.30 มิ.ย.ให้ชาวเลไปแจ้งที่อยู่อาศัยและทำมาหากินกับอุทยานแห่งชาติตะรุเตา ซึ่งเหตุผลที่ชาวเลส่วนใหญ่ต้องสูญเสียสิทธิที่ดินเพราะ ความใจดีและความไม่รู้ มาวันนี้จึงลุกขึ้นสู้เพื่อความมั่นคงของชาวที่เป็นชาติพันธุ์ท้องถิ่นดั้งเดิม



ชาวเลเกาะหลีเป๊ะ ยืนยันว่าการทวงคืนแผ่นดินของชาวเล ไม้ได้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว หากมีการตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ในส่วนชาวเลขอให้เป็นโฉนดชุมชนเพื่อช่วยกันรักษาให้ลูกหลาน และยังปราถนาจะอยู่ร่วมกับเอกชนที่ได้เอกสารสิทธิ์มาถูกต้องร่วมกันพัฒนาเกาะหลีเป๊ะให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามต่อไป

คุณอาจสนใจ

Related News