เลือกตั้งและการเมือง

ว่อนโซเชียล แฉถอนหมายจับ ส.ว.คนดัง เปิดใจ 'ตร.' เผยเป็นเอกสารจริง ผบ.ตร.ยันไม่มีมวยล้มต้มคนดู

โดย passamon_a

12 มี.ค. 2566

310 views

ความคืบหน้ากรณีโลกโซเชียลแชร์ วิจารณ์ เอกสารหลุดของตำรวจ เป็นเอกสารชี้แจงข้อเท็จจริงของนายตำรวจที่เข้าขอหมายจับ ส.ว.คนดัง ซึ่งในเวลาต่อมามีการถอนหมายจับ โดยมีเอกสารทั้งหมด 7 หน้า แบ่งเป็น 27 ข้อ ลงชื่อ มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สารวัตรสืบสวน สน.พญาไท นั้น


ล่าสุด พันตำรวจโท มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สารวัตรสืบสวน สน.พญาไท ให้ข้อมูลทีมข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ ว่า กรณีเหตุการณ์การขอหมายจับ และถอนหมายจับที่เกิดขึ้นนั้น ต้องไปถามทางผู้พิพากษาและทางศาล เพราะขั้นตอนของตำรวจคือขอหมายจับ


"ตนเองเป็นตำรวจรับราชการมาก็ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้" มันเป็นเรื่องของผู้พิพากษา ผมลงรายละเอียดไม่ได้ ทุกอย่างที่ชี้แจงไปอยู่ในเอกสารแล้ว ที่บอกกับทีมข่าวได้แค่นี้ ไม่ใช่ตนไม่อยากตอบ แต่มันเป็นเรื่องวินัยไม่สามารถให้รายละเอียดข่าวได้


ตามปกติแล้ว การขอหมายจับ พนักงานสอบสวนจะเป็นคนขอ ศาลก็อนุมัติหมายจับหรือไม่ตามพยานหลักฐาน ที่ส่งไป ส่วนการถอนหมายจับ "พนักงานสอบสวนไม่มีสิทธิไปถอนหมายจับได้เป็นหน้าที่ของศาล" ซึ่งการถอนหมายจับมี 2 กรณี คือ 1. จับผู้ต้องหาไปแล้ว หมายจับก็จะถอนไปโดยปริยาย 2. คือ ต้องไปถอนหมายจับที่ศาล ซึ่งมีผู้พิพากษาพิจารณา


กรณีนี้รายละเอียดทั้งหมด อยู่ในเอกสารที่หลุดมา และยืนยันว่า เอกสารที่หลุดมานี้ ไม่ได้ออกมาจาก ตร. ไม่รู้มาจากไหน


ส่วนตัว ยอมรับว่า "กังวลใจบ้างแต่ความรู้สึกก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร" และขอยืนยัน ในการทำหน้าที่พนักงานสอบสวนและพิมพ์สำนวนเอกสารคดีนี้ ทำตามขั้นตอนกฎหมายทุกประการ รายละะอียดก็ตามที่แชร์กันออกไป ซึ่งเรื่องนี้ผู้บังคับบัญชายังไม่มีการเรียกสอบถาม


ขณะที่ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. เปิดเผยจากกรณี พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สว.สส.สน.พญาไท ชี้แจงขั้นตอนการดำเนินคดีกับเครือข่าย ทุนมินลัต จนเป็นข่าวที่เกิดขึ้นว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. รับทราบข้อมูลแล้ว จึงสั่งการให้จเรตำรวจแห่งชาติ ลงตรวจสอบข้อเท็จจริง การทำสำนวนคดี ความล่าช้า ความบกพร่อง ว่ามีหรือไม่อย่างไร หากพบให้ดำเนินการตามหน้าที่อย่างเด็ดขาด ทั้งอาญา วินัย และปกครอง


และในส่วนที่มีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำคดีดังกล่าวหลุดมานั้น สั่งการให้ ผบช.น. ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว ว่าเป็นเอกสารจริงหรือไม่ และรายละเอียดที่ปรากฏในเอกสารเป็นข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ เนื่องจากเนื้อหาในการกล่าวอ้าง เป็นการเปิดเผยขั้นตอนกระบวนการสืบสวนสอบสวนคดี ที่ยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้น และที่ผ่านมาไม่เคยได้รับรายงานจาก ผบช.น. ว่ามีเหตุการณ์เช่นที่บรรยายในหนังสือดังกล่าวเกิดขึ้น


พล.ต.ต.อาชยน กล่าวว่า ส่วนประเด็นการดำเนินคดีกับ เครือข่าย ทุนมินลัต คดีดังกล่าวเริ่มจาก พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สว.สส.สน.พญาไท เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง สว.กก.2 บก.สส.บช.น. สืบสวนพบว่าบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้องน่าจะมีส่วนกับการทำผิด ได้ยื่นขอหมายจับและศาลเพิกถอนหมายจับ ต่อมาจึงเข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน บก.ปส.3 เมื่อวันที่ 4 ต.ค.65 และ บช.ปส. เห็นว่าเป็นเป็นคดีนอกราชอาณาจักร จึงเสนออัยการสูงสุดรับผิดชอบ เมื่อวันที่ 15 พ.ย.65 ต่อมาอัยการสูงสุดเห็นว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร มอบหมายให้ ผบก.ปส.3 เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบแทน อัยการสูงสุด โดยมอบหมายให้พนักงานอัยการเข้าร่วมสอบสวนด้วยเมื่อวันที่ 21 พ.ย.65


ต่อมาหลังจากมีประเด็นคดี ทุนมินลัต เมื่อครั้งก่อน ผบ.ตร.เรียก ผบช.ปส. และ ผบก.ปส.3 มากำชับให้ควบคุมกำกับดูแลการทำงานของพนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบ ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุด ให้ทำการสอบสวนอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ ไม่ละเว้นหรือช่วยเหลือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด รวมทั้งให้สนับสนุนการทำงานของพนักงานสอบสวนในด้านต่าง ๆ ที่จำเป็นอย่างเต็มที่ อย่าให้เกิดเป็นอุปสรรคในการทำงาน


และเมื่อวานนี้ (11 มี.ค.) สั่งการ ผบก.ปส.3 รายงานความคืบหน้าทางคดีในส่วนที่ไม่เสียต่อรูปคดีมาเป็นระยะ เพื่อที่จะไม่ให้สังคมคลางแคลงใจในความโปร่งใสของการทำงานของพนักงานสอบสวน ซึ่ง ผบ.ตร.ยืนยันว่าไม่มีใครมาสั่งการ กดดัน หรือเข้าแทรกแซงการทำสำนวนในคดีดังกล่าวแต่อย่างใด และกำชับพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐานที่ปรากฏตามข้อเท็จจริงทุกประการ


พล.ต.ต.อาชยน กล่าวอีกว่า จะเห็นได้ว่าคดีดังกล่าว พงส.บช.ปส.3 หลังจากที่รับคำกล่าวโทษประมาณ 1 เดือนกว่าก็เร่งรวบรวมหลักฐาน ทำสำนวนมาตลอด พบว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร จึงส่งสำนวนให้อัยการสูงสุด โดยไม่ได้มีการประวิงสำนวนเพื่อช่วยเหลือใครแต่อย่างไร และมีการส่งรายงานเพิ่มเติมตามคำร้องขอของอัยการสูงสุดมาอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ทางคดีมีความคืบหน้าไปมากแต่ยังไม่แล้วเสร็จอยู่ระหว่างการพิจารณาทางคดีร่วมกันของอัยการและตำรวจที่ทำคดีทำงานในรูปแบบคณะทำงาน ตำรวจไม่ได้ทำคดีฝ่ายเดียว โดยหารือร่วมกันกับพนักงานอัยการมาโดยตลอด


โดยในประเด็นคดี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการเน้นย้ำมาตลอด ว่าต้องทำความจริงให้ปรากฏ ตามพยานหลักฐาน เอาคนผิดมาลงโทษ ต้องไม่มีการช่วยเหลือใคร เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชน ซึ่ง ผบ.ตร.รับนโยบาย และติดตามความคืบหน้าคดีกับ ผบก.ปส.3 มาตลอด พร้อมจะเข้าช่วยเหลือหากอัยการและคณะพนักงานสอบสวนร้องขอ


ประเด็นต่อมาการโยกย้าย พ.ต.ท.มานะพงษ์ เป็นการแต่งตั้งตามวาระ ไม่ได้มีสาเหตุมาจากคดี เนื่องจากคดีนี้ ตำรวจ บก.สส.บช.น.ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับสำนวนแล้ว ตั้งแต่ที่อัยการสูงสุดอนุมัติเป็นคดีนอกราชอาณาจักร อีกทั้งอำนาจการแต่งตั้งระดับ สว.-รอง ผกก เป็นอำนาจของ ผบช. ซึ่งพิจารณาจากหลายปัจจัย ทั้งการทำงาน ความรู้ความสามารถ การทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานและอาวุโสต่าง ๆ โดยมีการประเมินตามหลักเกณฑ์ มีผลคะแนน ออกมาชัดเจน จนมีการโยกย้ายตามความเหมาะสม เพื่อให้การทำงานของหน่วยมีความต่อเนื่อง


ซึ่งการโยกย้าย พ.ต.ท.มานะพงษ์ เป็น สว.สส.สน.พญาไท ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี ไม่ได้เป็นการลดเกรด หรือกลั่นแกล้ง เพียงแต่เป็นเรื่องความเหมาะสมของหน่วย ที่ผู้บังคับบัญชาเห็นว่า จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเพื่อการทำงานในภาพรวมของหน่วย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ


โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า ประเด็นที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมขณะนี้ กระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม พล.อ.ประยุทธ์ สั่งการกำชับมาตลอดให้ ทำคดีอย่างตรงไปตรงมา พยานหลักฐานไปถึงใคร ให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาด ซึ่ง ผบ.ตร.รับนโยบาย มีการติดตามคดีมาต่อเนื่อง พร้อมจะสนับสนุนทุกการทำงานตามที่อัยการและคณะพนักงานสอบสวนคดีนี้ร้องขอมา เพื่อให้พี่น้องประชาชนเกิดความมั่นใจ โดย ตร.พร้อมจะทำทุกทาง เพื่อเอาผิดคนเกี่ยวข้อง ไม่มีมวยล้มต้มคนดูแน่นอน


รับชมทางยูทูบที่ :  https://youtu.be/rgn2yeEoiBg

คุณอาจสนใจ

Related News