"ทนายอั๋น-สารวัตรชิน" ร้อง ปปป. ถูกอัยการสั่งคดีไม่ชอบ

นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น บุรีรัมย์ พา พ.ต.ท.วุฒิพงษ์ ตั้งมหากิจศิริ รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นนายตำรวจที่ถูก พ.ต.อ.กราบเท้า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน บก.ปปป. เพื่อดำเนินคดีกับพนักงานอัยการและอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และมาตรา 200 เป็นเจ้าพนักงานกระทำการโดยมิชอบ เพื่อจะช่วยบุคคลหนึ่งบุคคลใดมิให้ต้องโทษหรือให้รับโทษน้อยลง



โดยสืบเนื่องจากคดีที่ พ.ต.ท.วุฒิพงษ์ เป็นผู้เสียหายที่ถูกนายทหารยศพันตรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนเตรียมทหาร ที่ฉ้อโกงค่าตัดเครื่องแบบตำรวจ มูลค่ากว่า 5,200,000 บาท เมื่อปี 2561 โดยอ้างว่าได้รับโควตาผ้ากากี สนว.01 จากร้านทรงสมัย และระบุว่า มีกำลังการผลิตชุดเครื่องแบบตำรวจซึ่งเป็นแม่บ้านในค่ายทหาร สามารถตัดชุดเครื่องแบบตำรวจได้ 5,000-7,000 ชุดต่อเดือน ทำให้มีนายตำรวจได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อกว่า 5000 คน



ซึ่งในชั้นพนักงานสอบสวน พบพยานหลักฐานว่าผู้ถูกกล่าวหาเข้าขายความผิดในหลายส่วน จึงแจ้งข้อหาดำเนินคดีกับคู่กรณีในข้อหาฉ้อโกงและร่วมกันขายของโดยหลอกลวงไม่ตรงคุณภาพ แต่ทว่าต่อมา พนักงานอัยการในคดีนี้มีคำสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งขัดแย้งกับพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนที่สรุปในสำนวนและไม่ได้มีคำสั่งให้ส่งสำนวนให้พนักงานสอบสวนกลับไปสอบสวนเพิ่มเติมแต่อย่างใด



ซึ่งหลังมีคำสั่งทางคดี ก็ส่งให้อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรีในขณะนั้นพิจารณาคำสั่งฟ้อง เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีอาญามีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ผู้ว่าราชการจังหวัดถึงต้องพิจารณาคำสั่งฟ้องของพนักงานอัยการด้วย ซื่งทางอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรีคนนีก็ได้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องด้วยเช่นกัน  ทำให้ พ.ต.ท.วุฒิพงษ์ เห็นว่าเป็นการสั่งคดีที่ผิดปกติ จึงมาแจ้งความดำเนินคดีกับทั้ง 2 คน



มีรายงานว่า พนักงานอัยการที่ พ.ต ท.วุฒิพงษ์ มาแจ้งความดำเนินคดีนั้น ปัจจุบันเป็นรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่ง พ.ต.ท.วุฒิพงษ์ เคยยื่นเรื่องร้องเรียนไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดหลายเดือนแล้ว แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าในการตรวจสอบการสั่งคดีของพนักงานอัยการคนดังกล่าวแต่อย่างใด



อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ทางกองทัพบกได้เข้ามาช่วยเหลือในเรื่องการไกล่เกลี่ย จนได้ข้อตกลงว่า ผู้ถูกกล่าวหาจะคืนเงินให้จำนวน 3,500,000 บาท ซึ่งต่อมาทางกองทัพบกให้เงินช่วยเหลือเบื้องต้นมาจำนวน 2 ล้านบาท แต่ผู้ถูกกล่าวหายังติดค้างเงินกันอีก 1,500,000 บาท ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับเงินครบจำนวน