สังคม

ดื่มน้ำสาบาน! เงินวัดหาย 4 แสน จับขโมยไม่ได้ ชาวบ้านร่วมพิธีแสดงความบริสุทธิ์ สาปแช่งคนเอาไป

โดย paweena_c

5 มี.ค. 2567

314 views

เกือบเดือนคดีไม่คืบ เงินวัด 4 แสนหายจากตู้เซฟของวัด รวมตัวกันอีกครั้ง ขอให้พระครูเรียกคนเกี่ยวข้อง 'ดื่มน้ำสาบาน' สาปแช่งใช้กฎแห่งกรรมทำงาน ใครเอาไปขอให้มีอันเป็นไปภายใน 3 วัน 7 วัน ต่อหน้าพระศักดิ์สิทธิ์

ทั้งกรรมการวัด ผู้นำชุมชน และชาวบ้าน หมู่บ้าน บ้านโนนขวาง ต.นาโพธิ์ อ.เมืองร้อยเอ็ด พร้อมใจกันไปร่วมกิจกรรมการกินน้ำสาบาน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ กรณีที่ก่อนหน้านั้น กรรมการวัด 5 ท่านประกอบด้วย 1. พระครูนันทะ ศาสนกิจ (หรือหลวงพ่อพิทูล อนันโท) เจ้าอาวาสวัดโนนขวาง
2. พระครูขันติ โพธิคุณ เจ้าคณะตำบลนาโพธิ์ 3. นายพิรุฬห์ ศิลาจันทร์ กำนัน ต.นาโพธิ์ 4. นายสิทธิชาติ ซุยโพธิ์น้อย ประธานสภา อบต.นาโพธิ์ และ 5. นายเปลี่ยน มัคนายกวัด ไปเบิดเงินที่สงฆ์ที่ฝากไว้ ที่ ธกส.จำนวน 1,000,000 บาท มาเพื่อใช้จ่ายค่าก่อสร้างวิหาร และเตรียมไว้ เป็นค่าหมอลำในงานบุญประจำปีที่จะมาถึง ในวันที่ 19 – 22 พ.ค. 67 กลับมาที่วัด

โดย เงินหนึ่งล้านบาท ได้แบ่งให้เจ้าอาวาสเก็บไว้ 100,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ค่าน้ำ ค่าไฟ และอื่น ๆ แล้วนำเงิน 900,000 บาท มอบให้นายพิรุณ กำนันตำบลนาโพธิ์ นำไปใส่ไว้ในตู้เซฟ 2 ใบของวัดที่อยู่ในวิหาร โดยไปเอากุญแจตู้เซฟที่เก็บไว้กับนายวิจารย์ อดีตนายกอบต. แล้วกำนันก็รับเงินจากเจ้าอาวาส 900,000 บาท ไปแยกใส่ตู้เซฟ ใบแรก 500,000 บาท และใบที่ 2 จำนวน 400,000 บาท โดยการนำเงินใส่ตู้เซฟทั้งหมด กำนันเป็นผู้ดำเนินการเก็บเพียงลำพัง เจ้าอาวาสไม่ได้ยืนเฝ้าหรือดูการนำ ใส่ตู้เซฟทั้ง 2 ใบ แต่อย่างใด

ต่อมาทางวัดได้ทำการย้ายตู้เซฟทั้ง 2 ใบ ออกจากวิหาร เพื่อทำการก่อสร้างบูรณะวิหาร เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2567 ไปเก็บไว้ในกุฎิหลวงตาตุ๊ ซึ่งเป็นพระลูกวัดสูงอายุเป็นคนเฝ้า และต่อมา เมื่อวันที่ 8 ก.พ.2567 กรรมการวัด ประสงค์จะนำเงิน 200,000 บาท ไปจ่ายให้กับผู้รับเหมาก่อสร้าง จึงให้ นายพิรุณ กำนันตำบลนาโพธิ์ ไปเปิดเซฟเอาเงิน แต่หลังจากไปเปิดตู้เซฟดังกล่าว (โดยลำพัง) กลับพบว่ามีเงินเพียง 100,000 บาท เท่านั้น จึงแจ้งให้เจ้าอาวาสวัดและกรรมการวัดทราบว่าเงินหายไป และได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองร้อยเอ็ด ซึ่งหลังจากแจ้งความแล้ว พนักงานสอบสวนได้เรียกผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งอยู่ในข่ายต้องสงสัย ทุกคนไปสอบสวนปากคำ เพื่อหาคนผิดมาดำเนินคดี แต่ยังไม่ได้ข้อยุติ

โดยสรุปว่าสาเหตุที่เงินหาย กรรมการวัด ทั้งคนถือกุญแจ และแม้แต่กำนันก็น่าจะไม่เกี่ยวข้อง เพราะมีการให้ข้อมูลว่า เหตุที่เงินหาย น่าจะเกิดจากการเปิดตู้เซฟ แล้วปิดไม่ดี หรือลืมปิดเป็นต้นเหตุของเงิน 400,000 บาทหายไป แต่ชาวบ้านอีกส่วนหนึ่ง ไม่เชื่อว่าจะเปิดจากการลืมปิดตู้เซฟ เป็นเหตุให้เงินถูกขโมย เพราะเชื่อว่าถ้าขโมยลักจริง คงลักไปหมด โดยไม่เอาไป 400,000 บาทเท่านั้น ทำให้เชื่อว่าโจรลักเงินต้องเป็นคนใน แต่ไม่มีใครยอมรับ

และล่าสุด หลังจากที่มีการแจ้งความ จนเกือบจะครบ 1 เดือน แล้วคดียังไม่คืบหน้า และยังไม่ได้มีข้อยุติ และยังจับใครไม่ได้ ชาวบ้านก็เกรงว่า คดีเงินเงินหาย 400,000 บาท จะกลายเป็นมวยล้ม เพราะจับใครไม่ได้

ดังนั้นชาวบ้านจึงรวมตัว ยืนข้อเสนอไปยังผู้เกี่ยวข้องทุกคน หาทางออกด้วยการหาคนร้ายที่ก่อเหตุมารับโทษ ด้วยอีกทางหนึ่ง ซึ่งนอกเหนือจากขบวนการทางกฎหมาย ด้วยการให้มีการทำพิธีกรรม ทางความเชื่อทางไสยศาสตร์มาใช้ เรียกให้ผู้ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัย และน่าจะเกี่ยวข้องกับการดูแลเงินทุกคน มากินน้ำสาบาน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ในช่วงรอการทำงานของตำรวจ ด้วยพิธีกรรมทางไสยศาตร์ควบคู่กันไป


ซึ่งเมื่อเป็นมติเสียงส่วนใหญ่ ของชาวบ้าน ที่แตกเป็น 2 ฝ่าย จากฝ่ายที่มองว่าเหตุดังกล่าว กำนัน ถือว่าเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด

ในขณะที่อีกฝ่าย ที่เชื่อมั่นว่า กำนัน บริสุทธิ์ จึงมีความเห็นตรงกันว่า ขอให้มีการกินน้ำสาบานกัน ในวิหาร ต่อหน้าหลวงปู่โชคชัย เพื่อให้คนที่ไม่บริสุทธิ์ได้รับโทษและรับกรรมด้วยการลงโทษจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงมีมติให้จัดพิธีกรรมกินน้ำสาบานขึ้น

โดย กำนันบอกว่าตนเอง ยินดีทำตามคำต้องการของชาวบ้าน ในการให้มากินน้ำสาบาน ตนเองก็ยินดี แต่ตนเองเห็นว่า ให้ตนเองกินเพียงผู้เดียว ก็น่าจะเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ดังนั้น จึงต้องการ ขอให้ทุกคน ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัย หรือมีส่วนเกี่ยวข้อง ร่วมกันกินน้ำสาบานทุกคน ทั้ง พระรูปที่ เป็นเจ้าของกุฏิ ที่เก็บตู้เซฟ และญาติพี่น้อง ของพระรูปดังกล่าวทุกคน และทุกคนที่อยู่ในข่ายสงสัย ให้ร่วมกันกินน้ำสาบาน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์และเพื่อความสบายใจ ของ กรรมการวัด ชาวบ้าน ทุกคน ซึ่งชาวบ้านก็เห็นด้วย ร่วมเป็นสักขีพยาน ในการดื่มน้ำสาบานที่จัดขึ้น โดยให้ชาวบ้านเป็นคนชี้ว่า หากสงสัยใครหรือใครที่อยู่ในข่ายต้องสงสัย ก็ให้บอก แล้วก็ให้ทุกคนมาร่วมกันดื่มน้ำสาบาน พร้อมกัน

และเมื่อทุกคนมาพร้อมกัน เจ้าอาวาสวัด ก็ยังไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้มีการกินน้ำสาบาน ที่ทำขึ้นจากน้ำในโอ่น้ำมนต์ของหลวงปู่โชคชัย ที่ชาวบ้านต่างรู้ถึงความขลังและความศักดิ์สิทธิ์

พระครูพิทูล อนันโท เจ้าอาวาสวัดได้ให้การปรึกษาและความเห็นของชาวบ้านว่า ยังยืนยันที่จะทำพิธีดื่มน้ำสาบานหรือไม่ เสนอแนะเป็นการกล่าวปฏิญาณตนแทนดีหรือไม่ โดยให้ทรรศนะว่าหลวงปู่โชคชัยเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งหากดื่มน้ำสาบานอาจะเป็นการเกิดเหตุเภทภัยอันตรายกับผู้กระทำความผิดที่ไม่ยอมรับแล้วมาดื่มน้ำสาบานแล้วอาจจะเกิดเหตุ-เภทภัยขึ้นได้

แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างลงมติว่าต้องการให้มีการดื่มน้ำสาบาน จึงมีการดำเนินการตามความต้องการให้ ภายในวิหารต่อหน้า องค์พระหลวงปู่โชคชัย ในวันพระ ซึ่งเชื่อว่าเป็นวันแข็ง 

ประกอบพิธี ด้วยการ จุดธูปบวงสรวง และแจ้งเจ้าที่เจ้าทาง โดยนางกัญญา ตลาดขวัญ นายกอบต.คนปัจจุบัน เป็นคนดำเนินการ ก่อนทำพิธี ตักน้ำมนต์จากโอ่งน้ำมนต์ หน้าองค์พระหลวงปู่โชคชัย มาประกอบพิธี ทำขันธุ์ 5 บูชาแล้วดื่มน้ำสาบาน โดยผู้ดื่มน้ำสาบานคนแรก คือ พระครูหรือหลวงตาตุ๊ พระสูงอายุ เจ้าของกุฏิที่ตั้งตู้เซฟเก็บเงิน ดื่มน้ำสาบานเป็นคนแรก จากนั้นเป็น นายวิจารย์ เพิ่มพูน อดีตนายกอบต.ซึ่งเป็นคนถือกุญแจ แล้วต่อด้วยนายพิรุณ วิลาจันทร์ กำนันตำบลนาโพธิ์ ซึ่งรับผิดชอบเป็นผู้นำเงินเข้าไปเก็บในตู้เซฟ รวมทั้งทำหน้าที่ เอากุญแจจากอดีตนายก ไปดำเนินการเปิด-ปิดตู้เซฟ เอาเงินเข้า-ออก เพียงลำพังคนเดียว โดยไม่มีคนรู้เห็นด้วยโดยตลอด

และดื่มน้ำสาบานต่อด้วย เครือญาติทุกคน ที่มาอยู่พักค้างในกุฏิ ดูแลอาการอาพาธ ของพระครูหรือหลวงตาตุ๊ เป็นเวลาหลายวัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่เงินจะหาย จึงเชื่อว่า เหตุที่เกิดขึ้นมีเงื่อนงำ


นายพิรุฬห์ ศิลาจันทร์ กำนัน ต.นาโพธิ์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวสั้นๆ ก่อนจะเดินทางกลับว่า ตนเองได้ให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนไปหมดแล้ว พร้อมกับบอกว่าตนเอง ยืนยันว่าได้ทำหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ส่วนกรณีที่ถามว่าตนเอง เป็นผู้เก็บกุญแจตู้เซฟใช่หรือไม่นั้น กำนันตอบแต่เพียงว่า กุญแจอยู่กับอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น

นางนรมล แสงนาม กล่าวว่า ในส่วนของชาวบ้านที่สนับสนุน และเชื่อในตัวกำนันว่า เป็นผู้บริสุทธิ์และไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยกล่าวว่าตนเองเป็นลูกบ้าน ที่เชื่อมั่นในตัวกำนัน ว่าไม่มีส่วนรู้เห็น หากจะสงสัย น่าจะสงสัยคนที่นอนเฝ้า ตู้เซฟ มากกว่า

ส่วนนายวิจารย์ เพิ่มพูน อดีตนายกอบต. กล่าวว่า ในฐานะคนที่เก็บกุญแจ ยืนยันว่าตนเองไม่เคยไขเปิดตู้เซฟเลย

ในขณะที่หลวงตาตุ๊ เจ้าของกุฏิ ที่กรรมการวัด ย้ายตู้เซฟจากวิหาร มาเก็บไว้ในห้อง กล่าวว่า ตนเองไม่รู้ เรื่องราวอะไรทั้งสิ้น แม้กระทั่งมีเงินกี่ล้านกี่แสน ในตู้เซฟ ต้นนี้ก็ไม่ทราบ แม้แต่การกล่าวว่ามีเงินในตู้เซฟ ใบละ 5 แสนบาท ก็ไม่รู้เรื่องเลยว่ามีจริงหรือไม่ เมื่อเขาเอาตู้เซฟมาไว้ในกุฏิ ตนเองมีหน้าที่เพียงแค่นอนเฝ้าอยู่เฉย ๆ และยอมรับว่า ในช่วงที่ตนเองป่วย ก็มีลูกหลาน มาเฝ้า อยู่ในกุฏิจริง ก็ไม่มีกุญแจเปิด ในขณะที่ตนเองก็อ่านหนังสือไม่ออก และถึงแม้จะต่อให้มีกุญแจ ก็คงเปิดไม่เป็น มีกุญแจแต่ก็ไม่รู้รหัสเปิด จึงยืนยันว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและแสดงความบริสุทธิ์ใจ ด้วยการไปร่วมดื่มน้ำสาบาน ที่จัดขึ้นร่วมกับชาวบ้านด้วย



คุณอาจสนใจ

Related News