อาชญากรรม

3 ปีที่รอคอย 'แม่น้องชมพู่' ดีใจ สังคมได้รู้ความจริงพ่อแม่ไม่ได้ฆ่าลูก - ทนายยันอุทธรณ์ข้อหา 'เจตนาฆ่า'

โดย nattachat_c

21 ธ.ค. 2566

174 views

เมื่อวานนี้ (20 ธ.ค. 66) ถือว่าเป็นหนึ่งที่ศาลชั้นต้นได้มีการตัดสินคดีที่หลายคนคาใจ ว่าใครเป็นผู้กระทำผิด นั่นก็คือ 'คดีน้องชมพู่' นั่นเอง โดยศาลชั้นต้นได้ตัดสินว่า 'ลุงพล' ได้กระผิดใน 2 ข้อหา โทษรวมจำคุก 20 ปี แต่ทั้งนี้...ศาลได้อนุญาตให้ประกันตัว ในวันนี้ (21 ธ.ค. 66) รายการโหนกระแส จึงได้เชิญ คุณพ่อ-คุณแม่ของน้องชมพู่ มาบอกเล่าถึงความรู้สึกเมื่อได้ฟังคำวินิจฉัย // เชิญท่านรองฯ มาอธิบายถึงหลักการการทำงาน รวมถึงอธิบายข้อสงสัยบางข้อ ที่สังคมยังสงสัย // เชิญทนายของคุณพ่อ-คุณแม่น้องชมพู่ มาเล่าเรื่องราวต่างๆ โดยเราได้สรุปได้ ดังนี้ 


ท่านรอง : คดีน้องชมพู่ถือว่าเป็นคดีที่ยากครับ แต่ก็ไม่ต่างจากคดีอื่นๆ เพราะคดีอื่นๆ ก็มีความยากแตกต่างกันออกไป คดีนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้เก็บหลักฐานตั้งแต่ตอนต้นๆ คดี แต่เวลาพิสูจน์หลักฐานต่างๆ จะใช้เวลานาน เช่น DNA ที่ต้องพิสูจน์หลายรอบ รวมถึงถามความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ ด้าน เพราะมีหลักฐานเยอะ 


แต่สิ่งที่เราจะถือว่าเป็นข้อดีคือ หมู้บ้านกกกอกมีขนาดเล็ก ทั้งหมู่บ้านมี 230 คน จำนวน 96 ครัวเรือน ทำให้ตรวจสอบง่าย รวมถึงสอบปากคำง่าย การที่ใครจะอยู่ หรือไม่อยู่ช่วงไหน ทั้งหมู่บ้านแทบจะรู้กันหมด 


แต่ลุงพลไม่มีหลักฐานที่อยู่ 50 นาที ตรงกับเวลาที่น้องชมพู่หายไป เราได้พยาน 2 ปาก ว่าเห็นลุงพลในสวนยางทางที่จะไปบ้านน้องชมพู่


พยานเห็นว่า ลุงพลอยู่ในช่วง 9 โมงเศษ ซึ่งลุงพลไปรับพระ 10.07 น. เราเอากิจกรรมครั้งสุดท้ายของน้อง 9.11 - 9.49 คือดูยูทูบ แสดงว่าน้องหายไปช่วงนี้ ซึ่งลุงพลตอบไม่ได้ ตอบได้แค่กว้างๆ ว่า อาบน้ำ แต่งตัว ไปรับพระ แล้วพระบอกว่าไปถึง 10.07 น. 


เขาบอกว่าก่อนถึงวัด มีการชวนเพื่อนบ้านไปรับพระ แต่พอไปถามจริงๆ เป็นการถามตอนที่รับพระเสร็จแล้ว เท่ากับสวมเหตุการณ์ ก็คือการที่บอกเราแล้วว่าลุงพลพูดไม่จริง เราถึงขั้นนับก้าวเดินแล้วจับเวลาไปด้วย เพื่อประมาณเวลาให้ตรงที่สุด


เราเคยสอบลุงพล แต่ลุงพลไม่เคยบอกเรื่องพ่อแบมเลย เรื่องของโทรศัพท์ก็สำคัญ ลุงพลบอกว่าป้าแต๋นโทรไปหาว่าน้องชมพู่หาย เลยไปเล่าให้พระได้ แต่ลุงพลมีโทรศัพท์เครื่องเดียว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะโทรหากัน


เรื่องการตรวจรถ ที่ลุงพลบอกว่าทำไมตรวจค้นรถเขาคนเดียว ความจริงเราตรวจรถหลายคน เราสืบหลายคน พอพิสูจน์ทราบว่าไม่ใช่คนร้ายก็วางไว้


ในเรื่องของเส้นผม เรื่องนี้เกิดจากที่คนร้ายน่าจะมีความเชื่อทางไสยศาสตร์เลยตัดผม ซึ่งเราเก็บผมได้ทั้งหมด 50 เส้น คือการวางร่างไว้กับดินแล้วสับ พอเราหาว่าไปอยู่ที่อื่นบ้างมั้ย เราก็พบว่าอยุ่ในรถลุงพลด้วย ศาลแถลงว่า 16 เส้น แยกว่าร่วงธรรมชาติกับถูกตัด คือพบว่าผมทั้ง 2 เส้น มีการตัดครั้งเดียวกัน จากอุปกรณ์เดียวกัน เราตรวจสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์ความละเอียดสูง เส้นผมหลายเส้นพบ 2 รอย คือครั้งแรกสับมีดลงไปไม่ขาด เลยต้องสับผมรอบที่ 2 ซึ่งผมน้องชมพู่ที่รถลุงพลมี 2 รอย เหมือนกับที่เจอในเขา อันนี้คือหลักฐานสำคัญที่พิสูจน์ได้ว่าคนร้ายที่ตัดผมน้องชมพู่กับลุงพล เป็นคนเดียวกัน


ส่วนเรื่องการเดินขึ้นเขา ที่หลายคนบอกว่าน้องชมพู่อาจจะมีการเดินไปเส้นทางที่ง่ายหรือเปล่า ในเรื่องนี้  เราเดินทั้ง 4 เส้นทาง ซึ่งชั้นที่ 5-6 ไปจุดพบศพ ไม่มีทางที่เด็กจะขึ้นเองได้ ทั้งนี้ ทั้งหมด 4 เส้นทาง จะมาบรรจบกันที่ชั้น 5-6 เรื่อง


เราเลยสรุปสำนวนว่า ลุงพลจะไปรับพระ แล้วจะพาน้องไป พอน้องงอแงก็เลยกระทำกับเด็ก แล้วแก้ปัญหาโดยพาน้องไปซ่อนไปหลบ พอส่งพระเสร็จ ก็กลับมาเจอว่าเกิดเรื่อง มีความวุ่นวาย


ทั้งนี้ ตัวลุงพลเขาหายไปบ่ายสองถึงสี่โมงเย็น มีคนเห็นว่าเขาลงมาจากเขา เราสันนิษฐานว่าลุงพลพาน้องไปตอนบ่ายโมง เราเชื่อว่าไม่ว่าจะไปกิริยาไหนก็ตามน้องยังมีชีวิตอยู่


ถ้าถามเรื่องร่องรอยบาดแผล เราจะบอกว่าพิสูจน์ไม่ได้ เพราะบางส่วนเน่า เช่น ปาก แต่สาเหตุการตายที่แท้จริงคือขาดอาหาร


ตอนเริ่มทำคดี เราไม่ได้โฟกัสไปที่ลุงพลทันที เราทำโดยคิดว่ามีคนร้าย และเราเดินตามหลักฐานไปเรื่อยๆ จนไปถึงตัวเขา


แล้วเราก็ได้นำหลักฐานไปให้ศาลท่านพิจารณา แล้วก็มีการวินิจฉัยออกมาแบบนี้


อยากย้ำว่า วันที่ค้นรถมีสำนักข่าวหลายสำนักมาทำข่าว มีคลิปชัดเจน แล้วเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานก็ใส่ชุดแบบการที่ป้องกันโควิด


เรารววบรวมหลักฐานแน่นมาก แล้วส่งให้ท่านอัยการ ซึ่งทางท่านอัยการได้อ่านสำนวน และให้หาหลักฐานเพิ่ม และสอบปากคำพยานเพิ่ม อีก 1 ครั้ง

-------------

ทนาย : การนำสืบของโจทย์ คือพยานสอดคล้องต้องกันหมดทุกอย่าง เลยเป็นผลของการวินัจฉัยจากศาล คือ 1. ศาลเชื่อว่าด้วยลักษณะทางกายภาพของน้องชมพู่ว่าไม่สามารถขึ้นเขาเองได้ 2. ศาลเชื่อว่าจำเลยที่ 1 พาน้องไป


แต่…ศาลเชื่อว่า จำเลยประมาท ไม่ได้เชื่อว่าเจตนาฆ่าน้องตาย คือมันมีพิรุจของจำเลยเอง ที่จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนว่ารู้ได้อย่างไรว่าน้องชมพู่หาย ซึ่งทางจำเลยที่ 1 บอกว่า ขับรถขึ้นไปรับพระ และป้าแต๋นโทรมาบอก แล้วทางชุดสืบสวนไปสอบพบว่ามีโทรศัพท์เครื่องเดียว แล้วจะโทรศัพท์ที่ไหนโทรไปหา


ลุงพลไปวัดแล้วก็ไปเจอพระ 2 รูป คือ พระบุญมา และ พระสุรัช คือมีการถามว่าทำไมมาช้า พระบอกว่าเกือบไม่ได้มาเพราะหลานหาย แล้วช่วงเวลาที่น้องหาย มีคนเห็นว่าจำเลยที่ 1 เดินมาที่บ้าน ซึ่งสามารถเดินมาที่น้องได้


คือพยานทุกอย่างสอดคล้องไปทางนั้นหมดเลย แล้วพ่อแบมก็บอกว่าช่วง 9 โมงเศษ เห็นจำเลยที่ 1 ตรงนั้น แล้วจำเลยที่ 1 ไม่พอใจ มีการไปบอกพ่อแบมว่าให้เปลี่ยนเวลาเห็น


แล้วยิ่งเส้นผมที่มีรอยตัดเหมือนกันมาตกลงบนรถจำเลยที่ 1 และบริเวณจุดที่พบร่างน้องชมพู่ ทำให้เป็นหลักฐานสำคัญ


เรื่องข้อสงสัยในคำวินิจฉัยของศาล ถ้าทุกคนได้เห็นพยานหลักฐาน ทุกคนจะเปลี่ยนมุมมองเลย


ผมขออนุญาตเรียนว่าคดีนี้ยากมาก ขอขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สอบสวนกลาง และอัยการมุกดาหารทั้ง 2 ท่าน ที่ทำงานหนักมาก หาหลักฐานหนัก รวมถึงตำรวจสืบสวนสอบสวนด้วย


ผมถือว่าคำวินิจฉัยของศาลคือการคืนความถูกต้องให้น้อง ตามหลักจำเลยที่ 1 สู้มาตลอด คือ ไม่มีประจักษ์พยาน การค้นไม่ชอบ


ทั้งนี้ ทางเรามองต่างจากศาลเล็กน้อย ศาลมองว่าจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อ แต่เรามองว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาทำให้น้องตาย


ส่วนประเด็นป้าแต๋นที่ศาลยกคำร้อง ผมต้องขอปรึกษากับพ่อแม่น้องชมพู่ก่อน ส่วนลุงพล เราจะอุทธรณ์เรื่องเจตนาฆ่าครับ


เรื่องจำเลยจะอุทธรณ์ เราไม่กังวลใจเลย เพราะชุดสืบได้สืบมาอย่างดี พยานหลักฐานทุกอย่างมันเชื่อมกันมาอย่างดี ตอนนี้ คือพยานหลักฐานทุกอย่างเก็บหมดแล้ว เหลือแค่ให้ศาลท่านพิจารณา

-------------

แม่น้องชมพู่ : ดีใจ ที่ฟ้าได้ประกาศความจริง ให้สังคมได้รับรู้ว่าไม่ใช่เราทำ เราสงสัยลุงพลว่าทำไมถึงไปออกข่าวว่า เราสงสัยแอ๋ม เราสงสัยตอนแรกเลยคือ ตอนเรายืนเฝ้าเผาศพ เขาให้สัมภาษณ์ว่าวิญญาณน้องยังมีความอาฆาต พอเราเผาศพน้องเสร็จ บางสิ่งบางอย่างที่ตำรวจถามเรา ทำให้เราเก็บไปคิด และทำให้เราติดตามข่าว


จากคำถามที่ว่าใครอุ้มน้องชมพู่ได้บ้าง เราเลยมาสงสัยว่าแล้วใครอุ้มน้องชมพู่ได้บ้าง คนที่อุ้มได้คือ ตา ยาย พ่อ แม่ ลุงพล ป้าแต๋น เราสงสัยไทม์ไลน์เขา เช่น สูบลมไหม เรื่องโทรศัพท์เราก็สงสัย


ตอนนั้น มีหมดเลยเรื่องสงสัยเรากะพ่อว่าฆ่าลูกตาย จำความรู้สึกทุกอย่างได้ดี ทรหดมาก


นักข่าวที่มาจะถามว่าเราสงสัยใคร แต่ไม่เคยถามว่าเราถามหาน้องยังไง นั่นอาจทำให้บางคนสงสัยว่าทำไมเราไม่ไปหาน้องชมพู่ แต่ความจริงเราหาตลอดทั้ง 3 วัน เพียงแค่เราไม่ได้ไลฟ์ หรือลงโซเชียล เพราะเราตั้งหน้าตั้งตาหาลูกจริงๆ 


ตอนนี้ ทั้งหมู่บ้านสานสัมพันธ์มาเหมือนเดิม คุยกับป้าแต๋นครั้งสุดท้ายตอนที่เก็บกระดูกน้อง ทุกวันนี้ขายผ้า ทำสวน

-------------

กรรชัย : ผมบอกเลยว่า ไม่มีทางขึ้นเขาได้ ผมนี่ไปมาแล้ว พี่หมวยก็บอกว่าขึ้นไม่ได้ ผมฟังแล้วขึ้นเลย ว่าไม่มีทางขึ้นได้ กูไปมาแล้ว บางคนถามว่า มี 3 คดี แต่มีคดีนี้แหละ ที่ทำให้ชีวิตคนหนึ่งกราฟชีวิตพุ่งสูงมาก มีเอฟซี มีแฟนคลับ มีเงินทอง ได้โฆษณา อะไรต่าง ๆ นานา

-------------


คุณอาจสนใจ

Related News