อาชญากรรม

พ่อร้อง ลูกชายวัย 14 ถูกไฟคลอก หลังทำกิจกรรมในห้องเรียน รร.เยียวยา 3.5 หมื่น บอกอยากได้มากกว่านี้ ให้ฟ้องเอา

โดย petchpawee_k

20 ธ.ค. 2566

92 views

พ่อเด็กวัย 14 ร้อง! ครูให้นักเรียนล้อมวงเอาแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดอุปกรณ์-เข็มหมุด เพื่อนจุดไฟแช็ค แกลลอนแอลกอฮอล์ 5 ลิตร ระเบิด กระเด็นโดนเด็ก 2 คน ไฟคลอกใบหน้า หน้าอก-แขน โรงเรียนจ่ายเงินเยียวยา 35,000 บอกอยากได้เงินมากกว่านี้ให้ไปฟ้องเอา เด็กอีกคนบาดแผลเต็มอก ไม่ยอมไปรักษา จนท.ช่วยกันเกลี้ยกล่อม

 วานนี้ (19 ธ.ค.) นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง พานายไมตรี (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี และนักเรียนชั้น ม.3 อายุ 14 ปี ชื่อน้องที ที่ถูกไฟคลอกใบหน้า หน้าอกและแขน อาการสาหัสรุนแรง มาร้องเรียนต่อกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งปัจจุบันไม่สามารถยกแขนได้เพราะแผลเป็นผังผืด


หลังจากเมื่อวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา ในโรงเรียนขยายโอกาสแห่งหนึ่ง ที่อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี คุณครูให้เด็กนักเรียนนั่งล้อมวงเพื่อเอาแอลกอฮอล์เช็ดล้างทำความสะอาดเข็มหมุด  ระหว่างล้างมีเพื่อนเอาไฟแช็คไปจุดไฟเล่น จนทำให้แกลลอนแอลกอฮอล์ระเบิด กระเด็นไปโดนเด็ก 2 คน อาการสาหัส หลังเกิดเหตุทางโรงเรียน มีการระดมเงินจากผู้บริหาร และเด็กนักเรียนทุกคน รวมไปถึงได้รับเงินจากครอบครัวเด็กที่เกิดเหตุ รวมกันได้ 35,000 บาท และผู้บริหารยังบอกอีกว่า ถ้าอยากได้มากกว่านี้ ให้ไปฟ้องเอา


 “กัน จอมพลัง” บอกว่า น้องที ได้ส่งข้อความมาขอความช่วยเหลือ โดยไม่ได้บอกกับผู้ปกครอง พร้อมส่งภาพบาดแผลที่ถูกไฟคลอกมาให้ดู ถือว่าโชคดีมากที่รอดชีวิตมาได้ หลังเกิดเหตุไม่มีครูเข้ามาช่วยเหลือ ทำให้น้องทีต้องลงไปกลิ้งกับพื้น ส่วนเพื่อนอีกคนตัดสินใจวิ่งออกจากห้อง บาดเจ็บสาหัสกว่าน้องทีเสียอีก


หลังเกิดเรื่องทั้งผู้บริหาร เพื่อนนักเรียน และครอบครัวของเด็กผู้ก่อเหตุ มีการรวมเงินกันได้ 35,000 บาท มาให้ครอบครัวน้องที ซึ่งก็ยังไม่เพียงพอต่อการรักษา ซึ่งเข้าเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในอำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี


ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ทางครอบครัวน้องที ได้เข้าไปคุยกับผู้บริหารโรงเรียน ได้รับการตอบกลับว่า อยากได้มากกว่านี้ ให้ไปฟ้องเอา เป็นเหมือนกับการปัดความรับผิดชอบอย่างชัดเจน ความจริงแล้วโรงเรียนอาจจะเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก งบประมาณน้อย แต่ผู้บริหารไม่ควรพูดแบบนี้


วันนี้ตนจึงพาน้องที มาร้องทุกข์ที่กระทรวงศึกษาธิการ อย่างน้อยก็ต้องก็ต้องมีการประสาน ให้เกิดการช่วยเหลือน้องที เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของน้องที และเรื่องเกิดขึ้นภายในโรงเรียน อยากให้ผู้ใหญ่ที่กระทรวงได้เมตตากับน้องที


หลังเกิดเหตุน้องที และนายไมตรี  ยืนยันว่าจะไม่เข้าไปแจ้งความกับตำรวจ เพราะไม่อยากให้ทางโรงเรียนได้รับความเดือดร้อน เพราะตัวพ่อเองนั้น ทำงานภารโรงที่โรงเรียนแห่งนี้ มานาน 7 ปี เงินเดือน 8,700 บาทต่อเดือน ปัจจุบันนี้น้องที ยังคงได้รับความทุกข์ทรมาน เพราะไปล้างแผลต้องโดนขูดเนื้อที่ติดเชื้อ ออกแบบสดๆ


นายไมตรี เปิดเผยว่า วันที่เกิดเหตุตนเองกำลังทำงานอยู่ในโรงเรียน ได้ยินเสียงระเบิดขึ้น นักเรียนวิ่งแตกกระเจิง ตนเองจึงออกมาดู ปรากฏว่าเห็นลูกชายตนเองไฟลุกทั่วตัว เลยรีบเอารถพาลูกไปที่โรงพยาบาล ตอนนั้นอาการค่อนข้างสาหัส หลังเกิดเหตุได้เข้าไปคุยกับทางโรงเรียนแล้ว 3 รอบ ซึ่งรอบล่าสุดผู้บริหารบอกว่า ต้องรอเงินจากการยกช่อฟ้า ของกฐินโรงเรียน ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้จริงหรือไม่ ซึ่งตนเองมองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องนี้


และต้องเดือดร้อนกับค่าใช้จ่าย ที่ลูกชายต้องไปหาหมอทุก 2 สัปดาห์ มีค่าเดินทาง ค่ากินอยู่ และตอนนี้ห่วงเรื่องร่างกายของลูก อาจจะส่งผลเสียในอนาคต เพราะแขนใช้การได้ไม่เหมือนเดิมแล้ว อยากให้ทางหน่วยงานช่วยประสานงาน ให้เกิดการเยียวยาที่มากกว่านี้


  นายไมตรี กล่าวว่า โรงเรียนต้องรับผิดชอบมากกว่านี้ เพื่อให้ลูกได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ และยังคงเป็นห่วงว่าจะตกงาน หรือโดนไล่ออกจากภารโรง หลังออกมาเปิดเผยเรื่องนี้สำหรับจิตใจของน้องที ตอนนี้รู้สึกเข้มแข็งขึ้นมามากแล้ว เพื่อนๆ ในโรงเรียนทุกๆ คนให้กำลังใจแก่น้องทีโดนตลอด


ด้านนายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นตัวแทนของกระทรวงศึกษาธิการ มารับเรื่องเปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุถือว่าทางโรงเรียนแจ้งเรื่องเข้ามาเร็ว คือแจ้งมาวันที่ 28 กรกฎาคม แต่อาจจะเกิดความล่าช้า ในการช่วยเหลือ เพราะติดขัดเรื่องการประสานงาน


ทั้งนี้ตนได้จัดทีมลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมด ที่โรงเรียนแห่งนี้ ในจังหวัดสระบุรี และจะไปตรวจสอบเรื่องการรักษา ว่าจะสามารถรักษาที่ดีกว่านี้ได้หรือไม่ ยืนยันว่าทางทีมบริหารกระทรวงฯ ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ และประสานงานเพื่อให้เกิดความช่วยเหลือ เยียวยาที่เป็นธรรมเหมาะสมมากที่สุด รับประกันว่าคุณพ่อน้องที จะได้ทำงานที่เดิม จะไม่ถูกไล่ออกแน่นอน


จากนั้นทีมข่าวได้เดินทางที่บ้านหลังหนึ่ง ตั้งอยู่ในอำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นบ้านของน้องยอด วัย 15 ปี หนึ่งในผู้บาดเจ็บจากเหตุดังกล่าวอีกราย  พร้อมกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  โดยบ้านหลังดังกล่าวอยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณ 3 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นบ้านเพิงสังกะสี ไม่มีน้ำ -ไฟ ใช้แต่อย่างใด


ทีมข่าวได้พบน้องยอด ในสภาพมีบาดแผลท่วมเต็มลำตัว โดยเฉพาะบริเวณหน้าอก และและด้านหลัง จากถูกไฟลวก แขนด้านซ้ายเยียดตึงไม่สามารถงอได้ ซึ่งทางโรงพยาบาลได้มีการพันผ้าก็อต เพื่อป้องกันเชื้อโรค  


จากการพูดคุยกับน้องยอด  เผยว่า ขณะที่กำลังทำความสะอาดอุปกรณ์การจัดงาน ระหว่างนั้น ตนได้มีการนำแกลลอนแอลกอฮอล์ขนาด 5 ลิตร เพื่อนำมาเช็ดอุปกรณ์ทำความสะอาด และในขณะเดียวกันก็มีเพื่อนนำไฟแช็คมาจุดเล่นใกล้บริเวณแกลลอนแอลกอฮอล์ทำให้เกิดประกายไฟ จนระเบิดขึ้น ก่อนที่ไฟจะลุกลามมายังบริเวณเสื้อผ้า


โดยขณะที่ไฟกำลังลุกลาม ตนได้วิ่งไปขอความช่วยเหลือจากคุณครูที่อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ ประมาณ 3-4 เมตร แต่ครูได้ไล่ให้ตนวิ่งไปหาก็อกน้ำที่อยู่นอกอาคาร เพื่อดับไฟ ตนจึงต้องวิ่งไปที่ก็อกน้ำ โดยใช้เวลาประมาณ 30 วินาที เมื่อไปถึงไฟก็ไหม้เสื้อผ้าหมดแล้ว ก่อนที่ทางโรงเรียนจะพาตนไปโรงพยาบาล

ในขณะที่ “กัน จอมพลัง” ลงพื้นที่นั้น ได้มีการพยายามพูดคุยกับน้องยอด  โดยน้องยอดเล่าเพิ่มเติ่มทั้งน้ำตาว่า สาเหตุที่ไม่อยากไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล เพราะเจ้าหน้าที่พยาบาลชอบจับมัดมือแล้วล้างแผลแรง จึงทำให้ไม่อยากไป และขอรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ในขณะเดียวกันทางครอบครัว , เจ้าหน้าที่หน่วยงานและชาวบ้านพยายามช่วยเกลี้ยกล่อม ทีมข่าวสังเกตเห็นว่า แม่ของน้องยอดอยู่ในอาการร้องไห้ตลอดเวลาขณะที่เกลี้ยกล่อมลูกชาย


หลังจากที่ครอบครัวและเจ้าหน้าที่หน่วยงาน ร่วมถึงชาวบ้านได้พยายามเกลี้ยกล่อมน้องยอดให้ไปล้างแผลที่โรงพยาบาลนานกว่า 30 นาที น้องยอดก็ตอบตกลง โดยมีเจ้าหน้าที่หน่วยงานเป็นคนดำเนินการ ก่อนจะมีการพยุงตัวน้องยอด ออกจากบ้านขึ้นรถไปบ้านพักเด็ก พม.จังหวัด


นางสุริยงอายุ 36 ปี แม่น้องยอด เผยทั้งน้ำตาว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนยอมรับว่า ได้รับการดูแลเยียวยาในส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจมากนัก เพราะที่ผ่านมาเวลาจะพาลูกไปทำการรักษาที่อนามัยในพื้นที่ เพื่อล้างแผล จะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง 500 บาท


จนกระทั่งทางอนามัยไม่ยอมรับการล้างแผลแล้ว เนื่องจากบาดแผลของลูกชายตนเป็นวงกว้าง โดยทางอนามัย จึงแนะนำให้ตนพาลูกชายพาลูกชายไปล้างแผลที่ รพ.แก่งคอย เพราะมีแพทย์เฉพาะทาง แต่ในการเดินทางไป รพ.แก่งคอย จะต้องจ้างรถไปกลับ ตกวันละ 1,000 บาท ทำให้ลูกชายไม่อยากไปล้างแผล เนื่องจากกลัวเจ็บ และกลัวแม่เสียเงินค่าเดินทาง ซึ่งเงินที่ได้รับการเยียวยามานั้น ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล


จึงอยากให้ทางโรงเรียน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การดูแล และเยียวยาให้มากกว่านี้  ถึงแม้ว่า ลูกชายตนจะรักษาตามสิทธิของบัตรทองก็ตาม แต่การเดินทางแต่ละครั้ง จำเป็นต้องใช้เงิน


จากนั้นทีมข่าวเดินทางมายังโรงเรียน ตั้งอยู่ในอำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี โดยทางทางเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ลงพื้นที่มาพูดคุย พร้อมกับมีการประสานหน่วยงานกับสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสระบุรี (พม.) และบ้านพักเด็กสระบุรีในให้การเข้าช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้น


นางสาวเกษรา พึ่งศรี รักษาการแทนผู้อำนวยการ เผยว่า โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา ทางโรงเรียนได้มีการจัดกิจรรมของโรงเรียน ซึ่งคุณครูได้มีการสั่งให้นักเรียกทำความสะอาดเช็ดอุปกรณ์ หมุดเย็บโต๊ะ โดยมีการนำแอลกอฮอล์มาเช็ด แต่ระหว่างนั้น ได้มีเพื่อนคนเจ็บ เอาไฟแช็คไปจุดไฟเล่น จนทำให้ขวดแอลกอฮอล์ระเบิดกระเด็นไปโดนเด็ก 2 คน อาการสาหัส ซึ่งก่อนหน้านี้ตนยอมรับ เมื่อช่วงเช้าก่อนเกิดเหตุ ทางครูของโรงเรียนได้มีการตรวจพบไฟแช็กกับกลุ่มเด็กนักเรียนดังกล่าว จึงได้มีการยึดไฟแช็กไว้ แต่ตนก็ไม่ทราบกลุ่มเด็กดังกล่าวนั้นไปเอาไฟแช็กมาจากไหน


โดยหลังเกิดเหตุ ทางโรงเรียนได้มีการเยียวยาเด็กที่ได้รับบาดเจ็บทั้งสองคน คือ น้องที ที่มีการเยียวยาไปแล้วเบื้องต้นจำนวน 35,000 บาท แบ่งเป็น 3 งวด ส่วนน้องยอด  ได้รับเงินเยียวยาไปทั้งหมด 90,000 บาท แบ่งเป็น 5 งวด ซึ่งทางโรงเรียนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดูแลและเยียวยามาตลอด


จนกระทั่งไม่นานมานี้ แม่ของน้องที ได้มีการเรียกเงินเยียวยาเป็นจำนวนเงิน 1 แสนบาท โดยให้เรียกเก็บกับทางโรงเรียน , ครู และเพื่อนคนเจ็บทั้ง 3 คนที่อยู่ในช่วงเกิดเหตุ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการรับผิดชอบร่วมกันที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น โดยทางโรงเรียนได้มีการขอเจรจา แต่ทางผู้ปกครองไม่ยินยอม ก่อนจะมีการไปร้อง “กัน จอมพลัง”


ในส่วนประเด็นที่พ่อของน้องที ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า มีหนึ่งในคณะกรรมการของโรงเรียนมีการพูดจาในทำนองประมาณว่า “ถ้าอยากได้ก็ให้ไปฟ้อง” นั้น ทางโรงเรียนยืนยันว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่ถึงอย่างไรจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทางโรงเรียนก็ยินดีรับผิดชอบ


“กัน จอมพลัง” เผยเพิ่มเติ่มหลังเข้าช่วยผู้บาดเจ็บทั้ง 2 ราย ว่า จากการลงพื้นที่พูดคุยกับน้องยอด (คนเจ็บ) ตนรู้สึกสงสาร เพราะอาการบาดเจ็บค่อนข้างที่จะหนัก บริเวณหน้าอกยังคงมีหนองไหลออกมา เจ็บไปทั้งตัว ขยับตัวมากไม่ได้ ประกอบกับสถานที่บ้านพักเป็นเพิง สังกะสีไม่มีห้องน้ำ-ไม่มีไฟใช้ การเดินทางค่อนข้างลาดชัน ตนมองว่าการลงพื้นที่ในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะทุกคนได้เกลี้ยกล่อมให้น้องยอดยอมไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล


 ในส่วนค่ารักษาพยาบาลหากมีค่าใช้จ่ายนอกรายการนั้น ตนจะเป็นคนดูแลออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมถึงค่าแรงของแม่น้องยอด หากต้องไปเฝ้าดูแลลูกขณะทำการรักษา หลังจากนี้น้องยอดจะไปอยู่ในความดูแลของบ้านพักเด็กจังหวัดสระบุรี จนกว่าการรักษาจะเป็นที่สิ้นสุด


ในส่วนน้องที จากการพูดคุยทางกระทรวงศึกษาธิการจะมีการช่วยเหลือในส่วน ของโรงเรียนใหม่ให้ ซึ่งขณะนี้น้องที ได้โรงเรียนใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และหากน้องยอดประสงค์ในการหาโรงเรียนใหม่นั้น ทางกระทรวงศึกษาธิการก็มีความยินดีในการช่วยเหลือ ในส่วนพ่อของน้องที จะได้รับความคุ้มครองห้ามถูกใครกลั่นแกล้งในสถานที่ทำงานซึ่งเป็นโรงเรียนที่เกิดเหตุเป็นอันขาด


ทีมข่าวได้คุยกับน้องต๊อด อายุ 16 ปี (คนจุดไฟแช็ค) เล่าว่า วันดังกล่าวตัวเองไปช่วยครูทำกิจกรรมประมาณ 10 คนซึ่งในกลุ่มนั้นมีนายที นายยอด  นายปั๊ก ( นามสมมุติ) เจ้าของไฟแช็ค นายอัง (นามสมมุติ) เพื่อนในกลุ่ม และตัวเอง


 สักพักมีการคุยกันในกลุ่มเพื่อน 5 คน ว่าอยากลองจุดแอลกอฮอล์ดูซึ่งตอนแรกไม่คิดว่าจะมีเพื่อนในกลุ่มมีไฟแช็คเพราะว่านายปั๊ก (นามสมมุติ) ถูกครูยึดไฟแช็คไปแล้ว  แต่ไม่รู้ว่านายยอด (ผู้เสียหาย) เอาไฟแช็คมาจากไหนเอามาให้ตน หลังจากนั้นก็ลองจุดที่ตั้งใจว่าจะจุดคืออยากรู้ว่าจะเอากาวออกจากเข็มหมุดง่ายกว่าเอาแอลกอฮอล์เช็ดออกหรือไม่ช่วงแรกๆ จุดไปก็ไม่มีอะไรผ่านไปสักพักแกลลอนแอลกอฮอล์ก็ระเบิด


ช่วงเวลานั้นไฟลามไปติดตัวนายที และนายยอด ส่วนพวกตนก็ผมไหม้กันหมดรีบวิ่งหนีออกมา  เห็นนายยอดไฟลุกเต็มตัว ตัวเองก็เอามือไปช่วยปัดออก ครูก็พยายามจะช่วย ไม่ใช่ไม่ช่วยแต่ไฟลุกแรงจริงๆ จนสุดท้ายดับกันได้  ส่วนตัวนายที ไม่มีใครสังเกตเพราะดิ้นดับไฟอยู่ที่ผ้าเพื่อให้ไฟดับ "ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนจุดไฟเองคิดว่าจะไม่ระเบิดแบบนี้เพราะที่บ้านก็เคยจุดรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ น่าจะคิดก่อนทำแบบนี้"

ด้านพ่อของน้องต๊อด เผยว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องตนเองพยายามหาเงินมาเยียวยาผู้เสียหายทั้ง 2 ราย ตลอดทางโรงเรียนเรียกไปคุยไกล่เกลี่ยเรื่องเงินก็ไปไม่เคยปัดความรับผิดชอบจ่ายให้น้องที ผู้บาดเจ็บไป 20,000 บาท และตั้งใจจะจ่ายให้น้องยอดอีก 10,000  บาทแต่ทางครอบครัวยังไม่ยอมรับข้อเสนอนี้จึงยังไม่มีการจ่ายกันและจะนัดคุยกันอีกรอบ


ยืนยันว่าช่วยเหลือเต็มที่ตามกำลังที่ตัวเองมีไม่ปัดความรับผิดชอบไปมาหาสู่กันตลอดไม่เคยทิ้ง ทั้งนี้หลังเกิดเรื่องตัวเองก็ติเตือนลูกชายอยู่เป็นประจำเพื่อให้จำและไม่กลับไปทำพฤติกรรมดังกล่าวอีกและรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/mgMFDdN1g4o


คุณอาจสนใจ

Related News