สังคม

สั่งเด้ง-ตั้งกรรมการสอบ 7 ตร.ปทุม หลังพีอาร์สาวชี้โดนข่มขืน-ไถเงิน 3 แสน แลกลดโทษ

โดย nattachat_c

13 ธ.ค. 2566

41 views

พีอาร์สาว พาชี้จุดถูก 7 ตำรวจชุดสืบภูธรจังหวัดปทุมธานี รีดเงิน 3 แสน 3 หมื่นบาท และขืนใจ อ้างค่าเปลี่ยนของกลางจากยาเคเป็นยาบ้า 2 เม็ด พ่วงสามีไม่ต้องติดคุก ร่ำไห้ไม่มีทางเลือก จำเป็นต้องยอม ผู้การจังหวัดปทุมธานี สั่งเด้ง 7 ตำรวจที่ถูกกล่าวหา ตั้งกรรมการสอบ ลั่นผิดจริงไม่เอาไว้เด็ดขาด สร้างความเสื่อมเสียให้องค์กร


วานนี้ (12 ธ.ค. 66) นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย / ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พานางสาวแอน (นามสมมุติ) อายุ 46 ปี พีอาร์สาวผู้เสียหาย และ นายหนึ่ง (นามสมมุติ) อายุ 42 ปี สามีผู้เสียหาย อาชีพผู้รับเหมาก่อสร้าง นำหลักฐานใบแจ้งความ เอกสารใบส่งตัวดำเนินคดี และรายการเดินบัญชีธนาคาร เข้าร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือกับนายกรัฐมนตรี ผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ทำเนียบรัฐบาล โดยมี นายกองตรี ดร.ธนกฤต จิตรอารีรัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำรองนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนรับเรื่อง


นายเอกภพ เล่าว่า เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ผู้เสียหายทั้ง 2 คน ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ 7 นาย เป็นชุดหน่วยปฏิบัติการพิเศษของตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี ประกอบด้วยยศ

  • ร้อยตำรวจตรี 1 นาย
  • สิบตำรวจเอก 2 นาย
  • ดาบตำรวจ 3 นาย
  • จ่าสิบตำรวจ 1 นาย


ค้นตรวจสอบรถยนต์หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ย่านคลอง 5 ที่เป็นที่ทำงานของผู้เสียหายผู้หญิง ในรถพบยาเคไม่ถึงกรัม และมีการข่มขู่เธอว่า แม้สามีจะเป็นคนซื้อยามา แต่ก็ตรวจพบในรถ ซึ่งเธอจะต้องรับผิดชอบด้วย


จากนั้น ตำรวจก็ขับพาผู้เสียหายแยกกับสามี ขับรถตระเวนไปก่อนที่จะพาไปยังกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี โดยระหว่างทางก็มีการตรวจสอบมือถือ ก็พบว่า หญิงผู้เสียหายมีเงินในบัญชีจำนวน 360,000 บาท จึงเสนอว่า “ถ้ามึงไม่อยากติดคุก เดี๋ยวกูคุยกับนายให้ แต่ต้องเอาเงินมา 3 แสน” แต่เมื่อได้เงินไปแล้ว ก็มีตำรวจในกลุ่มดังกล่าว บังคับเธอไปข่มขืนอีกด้วย และเมื่อสามีมารู้เรื่องภายหลังประกันตัวออกมา ก็เลยพามาร้องเรียนขอความช่วยเหลือ


ด้านพีอาร์สาว บอกว่า หลังตำรวจมาค้นรถ และเจอยาเค และมีการตรวจสอบมือถือเธอ แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ และมีการเจรจาเอาเงิน เพื่อแลกกับการเปลี่ยนข้อหาครอบครองยาเค เป็นข้อหาครอบครองยาบ้า 2 เม็ด เนื่องจากอ้างว่า หากลดเป็นครอบครองยาบ้าไม่เกิน 5 เม็ด จะไม่ติดคุก แต่หากครอบครองเคตามีนไม่ว่ากี่กรัมก็ต้องถูกดำเนินคดี


ซึ่งเธอไม่มีความรู้ และไม่อยากให้สามีติดคุก จึงยอมทำตาม และยังบอกว่า เธอยังบอกอีกว่า ในวันเกิดเหตุ ตำรวจทั้งหมดบังคับให้เอากล้อง และเม็มโมรี่การ์ด ออกจากกล้องหน้ารถของเธอทั้งหมด


และขณะที่เข้าค้น ไม่มีการแสดงตัว หรือแสดงบัตรอะไรเลย หลังจากเจรจาเรื่องเงิน ตำรวจได้ขับพาเธอออกไปกดเงินที่ตู้ ATM 2 จุด ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี จุดแรกกดออกไป 2 แสน และ จุดที่ 2 อีก 100,00 บาท จนครบ 300,000 บาท ซึ่งตำรวจให้เธอไปกดเงินเพียงคนเดียว เพื่อหลบกล้องวงจรปิด


แต่ระหว่างที่แบ่งเงินกัน มี 1 ในตำรวจ 7 นาย พูดกับผู้เสียหายว่า เป็นคนเจรจากับนายให้ จะได้อะไรเป็นพิเศษหรือไม่ เงิน 3 แสนเป็นของนาย กูไม่ได้อะไรเลย มึงจะให้ค่าเหนื่อยอะไรกูบ้าง ผู้เสียหายก็ตอบไปว่า ตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว เงินก็กดให้ไปจนหมดแล้ว ตำรวจคนดังกล่าวจึงแจ้งว่า งั้นต้องร่วมหลับนอนด้วย เพื่อเป็นค่าคุยกับนาย


จากนั้น ตำรวจบังคับพาผู้เสียหายไปข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ ที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านรังสิต และหลังจากข่มขืนเสร็จ ประมาณตี 3 ของเช้าวันที่ 24 พฤศจิกายน จากนั้น บังคับผู้เสียหายกดเงินไปอีก 30,000 บาท ก่อนพาผู้เสียหายกลับมาที่กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี


ส่วนสามีที่ถูกจับมาด้วยนั้น ก็ถูกส่งตัวไปดำเนินคดีที่ สภ.ธัญบุรี ในข้อหาครอบครองยาบ้า 2 เม็ด


สามีของผู้เสียหาย เผยว่า หลังได้ประกันตัวออกมา 2 สัปดาห์ สังเกตเห็นแฟนตัวเองมีอาการผิดปกติ ซึมเศร้า ข้าวไม่กิน ไม่ค่อยพูดจา จึงได้พยายามเค้นสอบถาม จึงรู้ความจริงว่า นอกจากเสียเงิน 330,000 บาท แล้ว ยังถูกตำรวจชุดจับกุมข่มขืนด้วย จึงมาร้องเรียนเพราะทำใจไม่ได้ สงสารแฟน ไม่อยากให้แฟนมาโดนอะไรแบบนี้ ถ้าแลกได้ตนเองยอมติดคุกดีกว่าให้แฟนโดนทำแบบนี้


สามีผู้เสียหาย เผยอีกว่า ก่อนถูกตรวจค้นจับกุม ได้ซื้อยาเสพติด (ยาเค) มาจากนายกอล์ฟ ที่เคยซื้อขายยาเสพติดกันมาอยู่บ่อยครั้ง (ไม่ถึง 10 ครั้ง) คาดว่าเป็นคนชี้เป้าให้ตำรวจเข้ามาจับจนเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น และรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่ตัวเองเป็นต้นเหตุ ทำให้ภรรยาต้องเสียเงินไปกว่า 3 แสนบาท และถูกข่มขืน  


นายเอกภพ เชื่อว่านายกอล์ฟเป็นสายให้กับตำรวจ ทำหน้าที่ส่งยา เพราะเมื่อส่งยาให้กับผู้เสียหายแล้ว ตำรวจก็เข้าตรวจค้นทันที ซึ่งผิดสังเหต จึงอยากให้ตำรวจไปตรวจสอบคนที่ชื่อกอล์ฟว่า นำยามาจากตำรวจ และชี้เป้าให้มารีดไถหรือไม่


ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุ ทางตนได้ประสานไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ให้ตรวจสอบ  “มองว่าพฤติการณ์แบบนี้ผิดวิสัย และไม่มีศีลธรรม หากผู้บังคับใช้กฎหมายปฏิบัติแบบนี้ ประเทศชาติจะเหลืออะไร เรื่องนี้ตำรวจผิดทุกทาง จึงอยากให้ดำเนินคดี หากพบว่าผิดจริง อยากให้ดำเนินการถึงที่สุด”


ด้าน นายกองตรี ดร.ธนกฤต กล่าวว่า ได้ประสานไปยังโฆษกอัยการสูงสุด และกรมสอบสวนคดีพิเศษให้ดำเนินคดีเกี่ยวกับ พ.ร.บ.อุ้มหายและทรมาน ยืนยันว่า ตำรวจทั้ง 7 นาย เข้าข่ายการกระทำความผิดอย่างชัดเจน เพราะระหว่างการจับกุมไม่มีการบันทึกภาพวิดีโอเป็นหลักฐาน ตั้งแต่กระบวนการจับกุมจนถึงขั้นตอนพนักงานสอบสวน เรื่องดังกล่าว ผู้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบด้วย เพราะถือว่าเป็นการปล่อยปละละเลย ทำให้ระบบการทำงานของตำรวจเสียหาย

-------------

ขณะที่ช่วงบ่ายวานนี้ นายเอกภพ พร้อมทีมงานสายไหมต้องรอด และผู้เสียหาย ได้เดินทางไปชี้จุดยังตู้เอทีเอ็มจุดแรกช่วงเวลา 23.32 น. โดยพบว่า ตู้เอทีเอ็มในจุดแรกตั้งอยู่หน้าบริษัทแห่งหนึ่ง ริม ถ.ปทุมธานี ต.คูบางหลวง อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี โดยสภาพแวดล้อม จุดที่เข้ามากดเงิน ตั้งอยู่ริมถนน หน้าโรงงานแห่งหนึ่ง ไม่ใช่จุดชุมชน มีลักษณะเป็นสะพานไม้ชำรุด และค่อนข้างเปลี่ยว


นางสาวแอน เล่าว่า หลังตำรวจพามา ตนก็ทำการโอนเงินเข้าอีกบัญชี (ของสามี) ก่อนใช้บัตรเอทีเอ็มกดเงินอีกที ครั้งละ 30,000 บาท ครั้งแรก กดเวชา 23.43 น. และทยอยกดรวม  7 ครั้ง/ ครั้งสุดท้าย 20,000 บาท ในเวลา 00.48 น. โดยที่ตำรวจไม่ได้ลงจากรถ / โดยสาเหตุที่ใช้เวลานาน เพราะจะต้องโทรหาคอลเซ็นเตอร์เพื่อทำการเปิดขยายวงเงิน จาก 100,000 บาทเป็น 200,000 บาท จึงใช้เวลาในการกดเงินค่อนข้างนานในจุดแรก /จากนั้นตำรวจพาขึ้นรถ และรับเงินจากตนไปนับเงินบนรถ แต่ตำรวจย้ำว่าเงินยังไม่ครบ ขาดอีก 100,000 บาท


จากนั้น ตำรวจได้พาไปกดเงินอีกจุดหนึ่ง โดยผู้เสียหายได้โอนเงินบัญชีตัวเองเข้าบัญชีของฝ่ายชาย ก่อนจะไปเอาบัตรเอทีเอ็มของฝ่ายชายที่ห้องพัก เพื่อนำมากดเงินเพิ่มอีก 130,000 บาท ในจุดที่ 2 ย่านซอยรังสิต-นครนายก 18 ซึ่งเธอนำเงินให้ตำรวจ 100,000 บาท / ส่วนอีก 30,000 บาท เตรียมไว้เพื่อประกันตัวสามี แต่หลังจากให้เงินไปแล้วอีก 100,000 บาท กลับถูกบังคับพามาที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านตลาดรังสิต และข่มขืนกระทำชำเรา จากนั้น ตำรวจได้เอาเงินอีก 30,000 บาท ของตนเองไปด้วย


สำหรับเงินจำนวนนี้ เป็นเงินเก็บจากการทำงาน และเป็นเงินที่ได้รับจากการชดเชยเยียวยา ครั้งที่ร้านมีเหตุทะเลาะวิวาท และตนเองโดนตีหัวแตก ได้ค่าชดเชยมา 100,000 บาท จึงเก็บเอาไว้ ซึ่งเงินทั้งหมดที่ตนมี ตนเองก็ไม่เคยบอกใคร เพราะเป็นเงินเก็บ แต่ตนไม่ทราบว่า เกิดจากการที่ตำรวจนำโทรศัพท์ตนเองไปกดดู และพบว่าตนมีเงินจำนวนมาก แล้วรีดไถหรือไม่ แต่คาดว่าเหตุการณ์นี้ น่าจะมีความเชื่อมโยงกับนายกอล์ฟ คนรู้จักกันในสถานบันเทิงย่านคลอง 2 และซื้อยาเค


ตนเองคิดว่าตำรวจมีเจตนาต้องการรีดเงินตนเองหมดบัญชี แต่ในตอนนั้น ตนเองบอกว่าขอเหลือไว้ 30,000 บาท เพื่อใช้ในการประกันตัวสามี ซึ่งมีการกดเงินจำนวนนี้ไว้ตั้งแต่แรก  แต่สุดท้ายก็ต้องให้ตำรวจที่ข่มขืนตนเอง 30,000 บาท และมากดเงินอีกก้อนหนึ่ง เพื่อนำไปประกันตัวสามี

-------------

ต่อมา ทีมสายไหมต้องรอด พาผู้เสียหายไปชี้จุดที่โรงแรม  ผู้เสียหายร่ำไห้ และเปิดเผยกับทีมข่าวว่า ตำรวจที่กระทำชำเรา ไม่สวมถุงยางอนามัยป้องกัน หลังก่อเหตุเสร็จ ตนรีบไปซื้อยาคุมกำเนิดมากิน เธอบอกว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ซึ่งหน้า ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อยากช่วยสามี ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ก็มองว่าสิ่งที่ตำรวจทำมันเกินไป


จากนั้น ทีมสายไหมต้องรอด พาผู้เสียหายมายัง สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ เพื่อให้ปากคำกับตำรวจเพิ่ม โดย พ.ต.อ.ปริญญา ทองมา ผู้กำกับการ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ บอกว่า ได้สั่งชุดสืบสวนเก็บกล้องวงจรปิด ทั้งโรงแรม ตู้เอทีเอ็มที่มีการกดเงิน รายละเอียดอยู่ในสำนวนทั้งหมดแล้ว


ส่วนใครเกี่ยวข้องบ้างคดีนี้บ้างนั้น ตัวผู้เสียหายรู้ตัวผู้ก่อเหตุทั้งหมด เพราะฉะนั้นการพิสูจน์ความผิดไม่ยาก ซึ่งตำรวจก็จะรวบรวมพยานหลักฐานสนับสนุนในการดำเนินคดีต่อไป


หลังจากสอบปากคำ จะส่งตัวผู้เสียหายไปตรวจร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้งที่โรงพยาบาล เพื่อนำมาประกอบสำนวนคดี


ส่วนการเรียกผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีนั้น เบื้องต้นจะต้องขอรายละเอียดเพิ่มเติมจากผู้เสียหายก่อน ส่วนทั้งหมดจะเป็นตำรวจจริงหรือไม่นั้น ก็ยังต้องสืบสวนต่อไปซึ่งเบื้องต้น จากบันทึกการจับกุมสามีของผู้เสียหาย ก็มีรายชื่อนายตำรวจเซ็นบันทึกไว้อยู่แล้ว


หากพบว่ากระทำความผิดจริง ก็จะเข้าข่ายความผิดปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เรียกรับสินบน และข่มขืนกระทำชำเรา


พ.ต.อ.ปริญญา บอกว่า ถึงแม้ผู้กระทำความผิดจะเป็นตำรวจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกหนักใจเพราะมองว่าหากมีการกระทำความผิด ไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือใคร ก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย


นอกจากนี้ สื่อมวลชนพยายามเปิดรูปตำรวจให้ผู้เสียหายดู ปรากฏว่า มีประมาณ 2 คน ยศร้อยตำรวจตรี และ ดาบตำรวจ ที่อยู่ในชุดจับกุมคืนดังกล่าว แต่ไม่ใช่คนที่กระทำชำเราเธอ


ทั้งนี้ พล.ต.ท.จิระสันต์ แก้วแสงเอก ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1  มีคำสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหา ตำรวจ 7 นาย (ร.ต.ต. (ม.) /ด.ต.(ส.) /ด.ต. (ธ.) / ด.ต....../จ.ส.ต.(ส.) /ส.ต.อ.(ส.) /ส.ต.อ. (ส.)  ไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี แล้ว


นอกจากนี้ ได้มีการดำเนินการทางวินัย โดยให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย หากพบว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นจริง  จะพิจารณาโทษทางวินัย และดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำผิดทุกราย

------------------
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/TEWa__Ocweo

คุณอาจสนใจ

Related News