ต่างประเทศ

'ไบเดน' เยือนอิสราเอล ให้คำมั่นสนับสนุน ท่ามกลางสงครามที่ทวีความรุนแรง

โดย panwilai_c

18 ต.ค. 2566

52 views

สถานการณ์สู้รบในอิสราเอลและฉนวนกาซา ท่ามกลางการเฝ้าจับตาจากนานาชาติ ที่คาดว่า การสู้รบ จะมีแนวโน้มยืดเยื้อออกไป ล่าสุด โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินทางเยือนอิสราเอลแล้วในวันนี้ พร้อมหนุนอิสราเอลต่อไป ท่ามกลางสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลและฮามาสในกาซ่า ที่ยังร้อนระอุ

ขณะที่หลายประเทศมุสลิม ลุกฮือประท้วง เนื่องจากไม่พอใจที่ โรงพยาบาลในกาซ่าถูกโจมตี ทำให้มีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตหลายร้อยคนเมื่อวานนี้ โดยอิสราเอลและฮามาส ต่างกล่าวโทษว่าเป็นผู้ก่อเหตุ



ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ เดินทางโดยเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน ถึงนครเทล อาวีฟ ของอิสราเอล โดยมีนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนธันยาฮู ผู้นำอิสราเอล ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ด้วยการเข้าไปสวมกอดไบเดน ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด จากนั้น ผู้นำทั้งสองได้เข้าร่วมหารือร่วมกัน ซึ่งประธานาธิบดี ไบเดน ได้ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนอิสราเอลต่อไป เพื่อความพยายามการปกป้องชีวิตผู้บริสุทธิ์ จากเหตุโจมตีของฮามาส ที่โหดร้าย และไร้มนุษยธรรม ขณะที่นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู ได้ยกให้สหรัฐฯ เป็นเพื่อนแท้ของอิสราเอล และยิ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ



ประธานาธิบดีไบเดน ยังได้แสดงความเสียใจกับเหตุโจมตีโรงพยาบาลในกาซ่า ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน เมื่อคืนวานนี้ และยืนยันอีกเสียงว่า การโจมตีดังกล่าวเป็นฝีมือของกลุ่มอื่นไม่ใช่อิสราเอล



หลังจากภารกิจหารือกับนายกรัฐมนตรีเนธันยาฮูแล้ว ประธานาธิบดีไบเดนจะไปพบและให้กำลังใจแก่ เจ้าหน้าที่ฉุกเฉิน รวมไปถึงครอบครัวของผู้เสียชีวิต และ ผู้ที่ถูกจับเป็นตัวประกัน โดยกลุ่มฮามาส ที่ปฎิบัติการโจมตีแบบสายฟ้าแลบเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา



การเดินทางเยือนอิสราเอลของประธานาธิบดีไบเดน มีขึ้นในขณะที่ประชาชนในหลายประเทศในตะวันออกกลาง ลุกฮือประท้วง เนื่องจากโกรธแค้น หลังจากทราบข่าวโรงพยาบาล อัล-อาห์ลี ในเมืองกาซา ซิตี้ ซึ่งมีชาวปาเลสไตน์จำนวนหลายพันคนเข้ามารักษาตัว และหลบภัยจากการโจมตีเข้าไปอาศัยอยู่ ถูกยิงถล่มด้วยจรวด เมื่อคืนวานนี้ ทำให้มีผู้บริสุทธ์เสียชีวิตกว่า 500 คน ซึ่งปาเลสไตน์ ได้กล่าวหาว่าเป็นฝีมือของอิสราเอล



โดยการประท้วงที่ตุรกี บานปลายกลายเป็นเหตุรุนแรง ทำให้ตำรวจต้องยิงสเปรย์พริกไทย และฉีดน้ำแรงดันสูง เพื่อสลายกลุ่มผู้ชุมนุมที่พยายามจะบุกเข้าไปในอาคาร ภายในสถานกงสุลอิสราเอล ประจำนครอิสตันบูล เมื่อเช้าตรู่วันนี้ หลังจากกลุ่มฮามาส ออกมากล่าวหาว่า การโจมตีโรงพยาบาลในกาซ่า เป็นฝีมือของอิสราเอล พร้อมประณามว่าเป็น "การสังหารหมู่"



เช่นเดียวกับที่ เลบานอน การประท้วงเป็นไปอย่างรุนแรง ผู้ชุมนุมพยายามบุกเข้าไปในสถานทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงเบรุต จุดไฟเผาสิ่งของ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต้องฉีดน้ำและยิงแก๊สน้ำตา ซึ่งการประท้วงนี้ก็ทำให้สหรัฐฯ ออกมาประกาศเตือนประชาชนห้ามเดินทางไปเลบานอน เพราะหวั่นได้รับอันตราย



เช่นเดียวกันกับจอร์แดน, อิรัก, อิหร่าน, ตูนิเซีย ก็มีผู้ชุมนุมออกมาประท้วงตามท้องถนน ประณามเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเป็นฝีมือของอิสราเอล



อย่างไรก็ตาม อิสราเอล ยืนกรานว่า การโจมตีโรงพยาบาลในกาซ่า ไม่ใช่การโจมตีจากฝั่งอิสราเอลอย่างแน่นอน หลังมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว และมีหลักฐานยืนยัน โดยโฆษกกองกำลังป้องอิสราเอล หรือ ไอดีเอฟ ยืนยันว่า การโจมตีเป็นฝีมือของอิสลามิกจิฮัด เพราะระบบเรดาร์ของอิสราเอลตรวจจับได้ว่าจรวดที่โจมตีใส่โรงพยาบาลถูกยิงมาจากพื้นที่ในฉนวนกาซา



ขณะที่ข้อมูลข่าวกรองยังพบว่า มีการสนทนาระหว่างกลุ่มฮามาสและกลุ่มจีฮัดอิสลามปาเลสไตน์ ที่บอกว่าการถล่มโรงพยาบาลเป็นการยิงจรวดพลาดเป้า นอกจากนี้ โฆษกไอดีเอฟ ยังเปิดข้อมูลด้วยว่า นับตั้งแต่ที่เกิดการสู้รบขึ้น มีจรวดจากกาซาอย่างน้อย 450 ลูก ทำงานผิดพลาดและตกในดินแดนของตนเอง



นาย โอซามา ฮัมดาน เจ้าหน้าที่กลุ่มฮามาส ได้แถลงกับผู้สื่อข่าวที่เลบานอนในวันนี้ว่า สหรัฐฯ และ ชาติตะวันตกทั้งหมด ที่ให้การสนับสนุนอิสราเอล ต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่ ในการทำสงครามกับพลเรือนในฉนวนกาซ่า



ส่วนสถานการณ์สู้รบล่าสุด ยังเกิดเสียงระเบิดดั่งสนั่น และกลุ่มควันตามอาคารต่างๆ ในเมืองกาซ่า ขณะเดียวกันยังมีการโจมตีทางอากาศในกาซ่าอย่างต่อเนื่อง สหประชาชาติระบุว่า ประชากรครึ่งหนึ่งในกาซ่า ต้องอพยพหนีตาย ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขของปาเลสไตน์ เผยว่า โรงพยาบาลหลายแห่งในกาซ่า อยู่ในภาวะล่มสลาย เนื่องจากน้ำมันสำรองที่ใช้ปั่นไฟเหลือน้อยเต็มที และทำให้โรงพยาบาลบางแห่ง ต้องถูกบังคับให้ปิด สำหรับยอดผู้เสียชีวิตจากการสู้รบระหว่างอิสราเอล และกลุ่มฮามาส ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม จนถึงวันนี้ มีผู้เสียชีวิตในฝั่งอิสราเอล 1,400 คน และมีชาวปาเลสไตน์ในกาซ่า เสียชีวิต อีก 3,478 คน บาดเจ็บอีกกว่า 12,065 คน

คุณอาจสนใจ

Related News