สังคม

แจ้ง 4 ข้อหา เจ้าของโกดังพลุระเบิด จ่อขยายผลส่วยมูโนะ 2 พี่น้อง สส.พปชร. ปัดเอี่ยว

โดย passamon_a

6 ส.ค. 2566

91 views

ความเคลื่อนไหวหลังเหตุโกดังเก็บพลุระเบิด ในพื้นที่บ้านมูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 5 ส.ค.66 มีรายงานว่าตำรวจมาเลเซียได้ควบคุมตัว นายสมปอง ณ พล หรือเสี่ยไหว และ น.ส.ปิยะนุช พึ่งวิรวัฒน์ หรือเจ๊หลิน สองผัวเมียเจ้าของโกดังเก็บพลุระเบิด มาส่งมอบให้กับทางการไทย ที่ด่านพรมแดนสะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา


โดยมีหน่วยงานที่ฝ่ายความมั่นคงเกี่ยวข้อง ทั้งตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ ตม. และตำรวจ สภ.มูโนะ เดินทางไปรับมอบตัว และนำตัวทั้งสองคนเดินทางมาจาก สภ.สะเดา จ.สงขลา เพื่อทำบันทึกการจับกุม หลังจากที่มีการบันทึกจับกุมและแจ้งข้อหาให้ทราบ โดยนายสมปอง และ น.ส.ปิยะนุช ถูกดำเนินคดีในข้อหา ดังนี้


- กระทำโดยประมาทและการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายสาหัสและได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ

- ร่วมกันทำ สั่ง นำเข้า หรือค้าซึ่งดอกไม้เพลิงโดยไม่ได้รับอนุญาต

- ร่วมกันฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน

- ร่วมกันก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต


จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งตำรวจสอบสวนกลางตำรวจสงขลา และตำรวจ สภ.มูโนะ ได้ควบคุมตัว นายสมปอง และ น.ส.ปิยะนุช ออกจาก สภ.สะเดา เพื่อส่งไปดำเนินคดีที่ สภ.มูโนะ จ.นราธิวาส พื้นที่เกิดเหตุ โดยขณะที่ทั้งสองคนถูกควบคุมตัวออกจาก สภ.สะเดา เจ้าหน้าที่ได้มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา และพากันขึ้นรถทันที และทั้งสองคนก็ปฏิเสธที่จะตอบคำถามกับผู้สื่อข่าว โดยใช้รถคุ้มกันราว 5 คันตลอดเส้นทาง


อย่างไรก็ตามมีรายงานการสอบสวนของตำรวจระหว่างที่ทั้งสองคนถูกควบคุมตัวอยู่ที่ สภ.สะเดา ถึงจุดเริ่มต้นของการขายพลุประทัดจนกิจการใหญ่โต น.ส.ปิยะนุช เล่าว่า เริ่มต้นขึ้่นเมื่อปี 57-58 เดิมตนเป็นเซลล์ขายประทัดของบริษัทแห่งหนึ่งใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และแต่งงานกับ นายสมปอง สามี จึงย้ายไปอยู่ที่บ้านมูโนะ จากนั้นก็เริ่มลองสั่งพลุประทัดไปขาย เริ่มต้นจากตั้งโต๊ะขายเล็ก ๆ ขายหน้าร้าน และกิจการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มสั่งของจากอีกหลายบริษัทจนถึงปัจจุบัน


อย่างไรก็ตามมีรายงานจากทางเจ้าหน้าที่ ตม. ว่าหลังจากที่เกิดเหตุโกดังพลุระเบิด เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ขณะสองผัวเมียเดินทางไปมาเลเซีย ได้ย้อนกลับเข้ามาทางด่านประกอบ อ.นาทวี จ.สงขลา เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม และกลับออกไปมาเลเซียอีกครั้ง เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ก่อนที่จะถูกออกหมายจับ และติดต่อผ่านทนายเพื่อขอมอบตัว


ด้าน พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการสอบปากคำทั้งสองคนให้ประโยชน์ต่อคดี โดยรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ว่าซื้อสินค้ามาจากประเทศจีน มีการขนส่งอย่างไร ขนย้ายอย่างไร ข้ามด่านด้วยวิธีไหน ซึ่งจากการสอบถามผู้บังคับการจังหวัดนราธิวาสได้รับรายงานว่า การให้ปากคำของผู้ต้องหาทั้งสองคนเป็นประโยชน์อย่างมาก


ส่วนกรณีการสอบสวนขยายผลดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทุจริตต่อหน้าที่ หลังสังคมเกิดความสงสัยและติดใจในจำนวนของว่าทำไมจึงมีปริมาณมากขนาดนี้ ซึ่งจากการสืบสวนพบว่าในที่เกิดเหตุมีพลุมากถึง 400-500 กิโลกรัม ทั้งที่มีหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องต้องดูแลถึง 5-6 หน่วยงาน อาทิ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข


ว่าจากนี้ไปต้องไล่ตรวจสอบตั้งแต่ต้นทาง ตั้งแต่ขั้นตอนของการนำเข้าว่าได้สำแดงการนำเข้าถูกต้องหรือไม่ มีการจดแจ้งจำนวนที่นำเข้ามาถูกต้องหรือไม่ ขั้นตอนการขนส่งมีวิธีการขนส่งอย่างไร มีการอนุญาตจากขนส่งหรือไม่


เช่น การขนย้ายจากแหลมฉบังไปโรงงานที่บางกล่ำที่ จ.สงขลา หรือขนย้ายจากบางกล่ำไปที่ จ.นราธิวาส ซึ่งเชื่อว่าขั้นตอนการขนย้ายไม่ถูกต้อง แม้แต่โกดังที่เกิดเหตุมีการขออนุญาตเป็นสถานประกอบการ แต่ในใบอนุญาตไม่ได้ระบุว่าเป็นการประกอบการอะไร


ดังนั้น เจ้าหน้าที่ทั้ง 5 หน่วยงาน จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ จะอ้างว่าไม่มีคนแจ้งจึงไม่ทราบไม่ได้ เพราะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำการดูแลจึงต้องทำการตรวจสอบว่าสถานประกอบการดังกล่าวดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่


ขณะที่ นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส เขต 3 พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ในพื้นที่มูโนะ ม.1 เป็นที่ค้าขายตะเข็บชายแดนปกติคนมาเลเซียเขาจะมาซื้อของ ทำงานค้าขายเป็น 100 ปีมาแล้ว เราต้องทำความเข้าใจนี่ก่อน อย่างที่ผู้สื่อข่าวบางสำนักเขาว่าเป็นพื้นที่สีเทา สีดำ แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างงั้น


ถามผู้นำศาสนาโต๊ะอิหม่ามเขามาในพื้นที่ เราเองเป็น สส. ในพื้นที่เรารู้ว่าอะไรบ้างมันมีบ้างคนดีกับคนไม่ดี แต่ทั้งหมดทั้งมวลเป็นหน้าที่ของตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากข้อกล่าวหาตรงนี้ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น ผู้ประกอบการผมก็ไม่รู้จักเขา ถามว่ารู้มั๊ยมีดอกไม้ไฟตามปกติทั่วไปที่ไหนเขาก็มีขายดอกไม้ไฟ แต่ไม่คิดว่ามันจะมีเยอะถึงขนาดนี้


เท่าที่สอบถามท่านนายกองค์การบริหารส่วนตำบลมูโนะเอง ถามว่าเป็นการขอเป็นโกดังเก็บพลุหรือป่าว เขาว่าไม่ได้ขอเป็นโกดังเก็บพลุ แต่ขายพวกวัสดุก่อสร้างแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีการลักลอบ เอาเข้ามาแต่ทั้งนี้ก็เป็นหน้าที่ของตำรวจอีก ต้องดำเนินการติดตามจับกุม ส่วนเจ้จูเขาเป็นพ่อค้าแม่ค้าขายโชห่วยเขาก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการทางมูโนะนี่เลย


อย่างไรเป็นเรื่องการเมืองเข้ามาใส่ร้าย จริงแล้วในเรื่องของเฟซบุ๊กผมก็ได้ติดตามดูทั้งหมดนี้เป็นอวตาลทั้งหมด เป็นขบวนการ ไอ.โอ.ที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ผมให้ทีมงานติดตามดูว่าอะไรคือปัญหา ผมเองเป็น สส.ในนามพรรคพลังประชารัฐ ที่ดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน ผมเองเกิดเหตุการณ์วันแรกผมมาทันทีรู้ข่าวผมมาดูแลพี่น้องประชาชน ผมเองก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรทั้งสิ้น


หน้าที่ของผมคือต้องดูแลพี่น้องของผม ใครมาทำร้ายแบบนี้ผมรับไม่ได้ ในเรื่องของการเก็บส่วยก็ไม่ใช่หน้าที่ของอันนี้ เป็นเรื่องระหว่างตำรวจกับชาวบ้าน ตำรวจเองชาวบ้านเองก็ไม่เคยมาร้องเรียนกับผม แต่ถ้ามีการร้องเรียนขึ้นมาถ้ามีการรังแกผมก็ไม่ยอม


ส่วน นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ ส.ส.นราธิวาส เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ผมกลับมาลงพื้นที่หลังจากมีการอภิปรายเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ขอร้องพวกเราทุกคนเสพสื่ออย่างมีสติ อย่าฟังเพียงข้างเดียว พวกเราอยู่ในพื้นที่พี่น้องประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ท่านนายกโต๊ะอิหม่าม ย่อมรู้เรื่องราวดีและขอร้องอย่าซ้ำเติมขาวบ้านที่นี่เขาเดือดร้อนมาพอแล้ว อยากให้หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง รีบดำเนินคดีอย่างสูงที่สุด


ฝากทางรัฐดูแลเรื่องเยียวยาความเท่าเทียมกัน ดูแลให้เหมาะแต่ละบ้านแต่ละบ้านไปไม่อยากให้เกิดปัญหาเช่นนี้ เรื่องที่เป็นประเด็นในขณะนี้คือเรื่องส่วย ต้องบอกให้รู้ว่าขอร้องอย่างมาโยงเกี่ยวข้องกับการเมือง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเมืองใดๆทั้งสิ้น ผมเองก็พูดกลางสภามาแล้วถ้าผมหรือพี่ชายผม ครอบครัวมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วย ทำให้เกิดเหตุการณ์ในวันนั้นพร้อมจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างสูงสุดเช่นกัน



https://youtu.be/zWp0wBamG28

คุณอาจสนใจ

Related News