สังคม

'ชูวิทย์' ร้องอัยการสูงสุดรับคดี 'ตู้ห่าว' เป็นคดีระหว่างประเทศ - รมว.ยุติธรรม แถลงยึดทรัพย์ 'ตู้ห่าว'

โดย weerawit_c

10 ธ.ค. 2565

33 views

เมื่อช่วงเช้าวานนี้ (9 ธ.ค.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ขอเข้าพบ นางสาวนารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เพื่อขอให้รับคดีทุนจีนสีเทา เป็นคดีนอกราชอาณาจักร เพราะหากดูจากพฤติการณ์แล้วเข้าข่ายเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ เพราะนำเข้ายาเสพติดมาจากต่างประเทศ ฉลากที่ติดบนซองยาเสพติดเป็นภาษาจีน และนาย ตู้ห่าว เป็นผู้มีอิทธิพลกว้างขวางระหว่างประเทศด้วย หากเป็นคดีระหว่างประเทศ จะทำให้อัยการสูงสุดเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนแทน



เพราะเริ่มไม่มั่นใจการทำงานของพลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อหาฟอกเงินกับนาย ตู้ห่าว หากไม่มีข้อหาฟอกเงิน การยึดอายัดทรัพย์สินของนาย ตู้ห่าว ก็ไร้ความหมาย เนื่องจากเป็นเพียงการยึดอายัดชั่วคราวเท่านั้น และส่งผลให้นาง พัชรินทร์ รอดข้อหาสมคบกันฟอกเงินกับนาย ตู้ห่าว ด้วย ทั้งที่มีพยานหลักฐานเป็นเส้นทางการเงินและสเตทเมนท์ชัดเจน แต่ทางตำรวจให้นาง พัชรินทร์ เป็นเพียงแค่พยาน อาจจะทำให้คดีนี้หลุดได้ในชั้นศาล ซึ่งจะไปซ้ำรอยคดีทัวร์ศูนย์เหรียญที่ศาลฎีกายกฟ้องไป



โดยมี นายอิทธิพร แก้วทิพย์ และ ร้อยตำรวจโท อุทัย อาทิเวช รองอัยการสูงสุด มารับมอบหนังสือแทนอัยการสูงสุด และยืนยันว่าสำนักงานอัยการสูงสุดจะดำเนินคดีนี้อย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐาน และจะไม่ทำให้ประชาชนเคลือบแคลงสงสัย ส่วนเรื่องการพิจารณาว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักรหรือไม่ รองอัยการสูงสุด ให้ข้อมูลว่า ต้องเป็นคดีที่มีคนไทยมีส่วนได้ส่วนเสีย และเหตุเกิดนอกราชอาณาจักร หรือส่วนใดส่วนหนึ่งเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร ซึ่งตอนนี้ยังไม่เห็นรายละเอียดทั้งหมด จึงยังตอบไม่ได้



ขณะที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงยึดทรัพย์สินในคดีที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. ใช้อำนาจตามกฎหมายยึดทรัพย์ขยายผลมาจากการจับคดีสถานบันเทิงจินหลิง ที่มีนายชัยณัฐร์กรณ์ ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าว เป็นเจ้าของ



รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ช่วงเช้าวานนี้ (9 ธ.ค.) ชุดพาลีปราบยาเสะติด ออกปฏิบัติการอายัดทรัพย์สินหลังได้รับข้อมูลจากนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นำมาส่งมอบให้กับกระทรวงยุติธรรม



ต่อมา ผู้อำนวยการศูนย์ยาเสพติด ป.ป.ส. เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ออกอายัดทรัพย์สินของบริษัท โรงแรมดิวาลักซ์ รีสอร์ทแอนด์สปา สมุทรปราการ / โฉนดที่ดินจำนวน 5 แปลง รวมกว่า 39 ไร่ นอกจากนี้ยังรวมทรัพย์สินมูลค่าทั้งหมดที่เอายัดไว้ ประมาณ 3,000 ล้านบาท รวมทั้ง รถยนต์หรูจำนวน 5 คัน



ข้อมูลพบว่า บริษัทนี้ก่อตั้งปี 2555 มีทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท มีกรรมการ 3 คนคือ นางพัชรินทร์ / นางรัตนา และนายตู้ห่าว ร่วมเป็นกรรมการบริษัท / ต่อมาในปี 2559 ถึงปี 2561 บริษัทได้ลงทุนก่อสร้างโรงแรมดิวาลักซ์ฯ



นอกจากนี้ที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ และ ป.ป.ส. ยังได้ขยายผลอายัดทรัพย์สินเครือข่ายของนายตู้ห่าวไปก่อนหน้านี้แล้วรวมกว่า 1,000 ล้านบาท ประกอบไปด้วยอสังหาริมทรัพย์และรถยนต์หลายรายการ ซึ่งยังมีเอกสารรายละเอียดบางส่วนที่ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบไม่แล้วเสร็จ



ส่วนยอดการอายัดทรัพย์สินของตำรวจที่ระบุว่า ทรัพย์สินของนายตู้ห่าวมีประมาณ 5,000 ล้านบาท รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม บอกว่า ยังไม่ได้รับข้อมูลแต่มีการประสานกันโดยตลอด



ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยืนยันว่า การอายัดทรัพย์สินทั้งหมดนี้ เจ้าของทรัพย์สินสามารถนำเอกสารหลักฐานมาชี้แจงที่มาของทรัพย์ได้ โดยระหว่างการอายัด เจ้าของทรัพย์ ยังสามารถเปิดให้บริการได้จนกว่ากระบวนการอายัดทรัพย์จะแล้วเสร็จ โดยเป็นไปตามคำสั่งของศาล



ซึ่งคดีของนายตู้ห่าว ถูกดำเนินคดีฐานสมคบยาเสพติด ถือเป็นองค์ประกอบการฟอกเงิน แต่หาก นายตู้ห่าว สู้คดีอาญาชนะ แต่ในส่วนของการอายัดทรัพย์สิน นายตู้หาว ยังจำเป็นต้องชี้แจงที่มาของทรัพย์ให้ได้ การอายัดจึงหมดไป



รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมยอมรับว่า ทรัพย์สินของนายตู้ห่าว ยังมีอีกมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่ฯ ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่ออายัดทรัพย์ต่อไป



รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยังยอมรับว่า คดียาเสพติดที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นอำนาจของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. แต่หากเป็นคดีที่เกิดขึ้นภายนอกราชอาณาจักร เป็นอำนาจหน้าที่ของอัยการสูงสุด



ส่วนประเด็นกรณีตำรวจยังไม่แจ้งข้อกล่าวหามูลฐานความผิดการฟอกเงินกับนายตู้ห่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม บอกว่า การอายัดทรัพย์ขนาดนี้ใช้อำนาจกฎหมายของป.ป.ส. ซึ่งถือว่า ยาเสพติดเป็นหนึ่งในมูลฐานความผิดการฟอกเงิน ดังนั้นการแจ้งข้อกล่าวหา ฟอกเงินหรือไม่ เป็นอำนาจการสอบสวนคดีอาญาที่ตำรวจรับผิดชอบอยู่แล้ว



ซึ่งอัยการที่มาร่วมแถลงข่าวให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า พนักงานสอบสวนควรแจ้งข้อกล่าวหาความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน กับนายตู้ห่าวเพื่อให้สำนวนคดีมีความรัดกุมมากขึ้น



ขณะที่นายชูวิทย์ ซึ่งมาฟังการแถลงข่าวเมื่อวานนี้ (9 ธ.ค.) ตั้งข้อสังเกตการไม่แจ้งข้อกล่าวหาการฟอกเงินของพนักงานสอบสวน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องนำข้อมูลหลักฐานไปยื่นให้อัยการสูงสุดพิจารณา และในอนาคต อาจนำรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ พิจารณารับกรณีนี้เป็นคดีพิเศษต่อไป เนื่องจากส่วนตัวเริ่มไม่มั่นใจการทำงานของพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ เนื่องจากไม่ยอมตั้งข้อกล่าวหาความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินกับนายตู้ห่าว แจ้งเพียงข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเท่านั้น



นอกจากนี้นายชูวิทย์ยังเชิญชวนให้นายจ้าวเหว่ย เดินทางมาเที่ยวที่ประเทศไทยบ้าง หลังก่อนหน้านี้นายจ้าวเหว่ย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ระบุไม่รู้จักคนชื่อ ชูวิทย์ และเชิญให้ นายชูวิทย์ มาเที่ยวที่อาณาจักรคิงส์โรมัน



ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) เปิดเผยกรณีที่นายชูวิทย์ ออกมาระบุว่า เจ้าหน้าที่ไม่แจ้งข้อหาฟอกเงิน นายตู้ห่าว โดยมองว่าการออกมาในลักษณะดังกล่าวเป็นเพราะนายชูวิทย์ เป็นห่วงเพราะได้นำข้อมูลหลักฐานต่างๆ มาให้และกลัวตำรวจทำสำนวนไม่แน่น หากสรุปสำนวนแล้วอัยการหรือศาลยกฟ้องได้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนายชูวิทย์ เข้าใจว่า สน.ยานนาวา ทำคดี สน.เดียวไม่มีความชำนาญ แต่ยืนยันว่าคดีนี้เป็นคดีใหญ่ และพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้แต่งตั้งเป็นคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน



ซึ่งมีทั้งตนเองและตำรวจนครบาล มีการระดมพนักงานสอบสวนฝีมือดีจากทั่วประเทศ รวมถึงมีอธิบดีอัยการคดียาเสพติด ป.ป.ส. และปปง. มาร่วมทำงานด้วย จึงขอให้นายชูวิทย์ มั่นใจว่าตำรวจทำคดีนี้อย่างรอบคอบรัดกุม และหากคดีนี้ตนทำไม่ดีคนที่เสียหายนอกจากตนเองแล้ว ประชาชนก็จะไม่ศรัทธาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องนี้ขออย่ากังวลใจ



พล.ต.อ.สุเชษฐ์ กล่าวต่ออีกว่า ในส่วนของคดีมูลฐานฟอกเงินที่นายชูวิทย์ เป็นห่วงนั้น ย้ำว่าจะต้องมีการดำเนินคดีข้อหานี้อยู่แล้ว แต่มีกระบวนการขั้นตอน โดยเฉพาะการยึดทรัพย์ ตำรวจต้องทำบัญชีส่ง ป.ป.ส.และปปง. จากนั้นต้องนำเข้าคณะกรรมการธุรกรรมในการยึดอายัดทรัพย์ ก่อนที่จะเข้าสู่การดำเนินคดีอาญาฐานฟอกเงินได้



พร้อมยอมรับว่า นายชูวิทย์ เป็นประชาชนที่แจ้งเบาะแสได้ดี เพราะข้อมูลเบาะแสหลายๆ อย่างตรงกันกับที่ตำรวจมี พร้อมย้ำว่าตอนนี้ตำรวจยังเป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนอยู่ แต่หากมีการสืบสวนพบว่ามีการโอนเเงินไปต่างประเทศจะเข้าความผิดนอกราชอาชณาจักร อัยการสูงสุดถึงจะเป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน



ดังนั้นมองว่าสิ่งที่นายชูวิทย์ พูดอาจจะเป็นการพูดล่วงหน้าไป แต่ย้ำว่าหลักฐานเดินไปถึงตรงไหนจะต้องดำเนินการตามนั้น แต่ว่าตอนนี้ยังอยู่ในกรอบระยะเวลาและสัดส่วนที่เราทำอย่างรัดกุมอยู่แล้ว และต้องเร่งรัดเพราะพนักงานสอบสวนและฝ่ายสืบสวนมากกว่า 60-70 คน ที่มาทำคดีนี้มีจำนวนมาก และต้องไปทำคดีอื่นไม่อย่างนั้นก็จะทำให้คดีอื่นล่าช้าไปด้วย



ขณะที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หลังจากที่เมื่อวานนี้ (9 ธ.ค.) ได้เดินทางไปยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุด ขอรับคดี “ตู้ห่าว” เพื่อให้อัยการสูงสุดเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ทำสำนวนคดีแทน พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา เจ้าของท้องที่เกิดเหตุบุกจับผับจินหลิงว่า วิ่ง สู้ ฟัด ตำรวจทำคดี “ตู้ห่าว” ตั้งข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติด แต่ไร้ข้อหา “ฟอกเงิน” ทั้งที่ยาเสพติดเป็น “ความผิดมูลฐาน” ของการฟอกเงินโดยอัตโนมัติ มันเหมือนของคู่กัน



แม้แต่เด็กเรียนกฎหมายปี 2 ยังรู้ แต่ตำรวจคงงานยุ่ง ลืมข้อหานี้ไป เมื่อตำรวจไม่แจ้งข้อหาฟอกเงินนายตู้ห่าว ทำให้ “พัชรินทร์” และพรรคพวกที่เป็นตัวแทนของตู้ห่าวไม่ถูกตั้งข้อหา “สมคบกันฟอกเงิน” ไปด้วย เดินเชิดหน้าพร้อมทีมทนายเข้าออกพบตำรวจทีมรองโจ๊กอย่างชิลๆ ในฐานะ “พยาน” หาใช่ผู้ต้องหาไม่ ทั้งๆที่โอนเงินอินุงตุงนังพัวพันกันไปมาในบัญชี เป็นตัวแทนให้ตู้ห่าวมีหลักฐานเห็นกันจะๆ



ถึงแม้ว่าตู้ห่าวจะหลุดคดียาเสพติด แต่หากชี้แจงที่มาของทรัพย์สินไม่ได้ กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่ามาจากยาเสพติด เพราะแค่ระยะเวลา 10 กว่าปี มีทรัพย์สินถึงหลายพันล้านได้อย่างไร ถ้าชี้แจงไม่ได้ ต้องตกเป็นของแผ่นดิน



หากมีใครไปถามตำรวจว่า ทำไมไม่ตั้งข้อหา “ฟอกเงิน”? คงตอบว่ากำลังดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานอยู่ จะไปรีบไม่ได้ เพราะทรัพย์สินมาก เดี๋ยวเสียรูปคดีหมด เป็นความลับในสำนวน ห้ามเปิดเผย ขอให้เดาเอาแล้วกันว่า ระหว่างตำรวจกับอัยการ จะไว้ใจใครได้? ผมจึงต้อง “วิ่งสู้ฟัด” ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นหน้าที่ผมเลยสักนิด แต่เพื่อให้ “สังคม” รู้เท่าทัน จำเป็นต้องพูดเป็นตัวอย่างไม่ให้เกิดเรื่องเก่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า



ถุงขนมรั่วหล่นระหว่างทาง อย่าไปคิดหวังรางวัล 5% หากได้จะยกให้โรงพยาบาลทั้งหมด ไม่เก็บไว้แม้แต่บาทเดียว จำคำพูดผมไว้ คดีนี้มองได้ว่ามันแพ้ตั้งแต่ “รำมวย” เพราะไม่แจ้งข้อหา” ฟอกเงิน” นี่เอง ส่วนเหตุของความไม่ไว้วางใจ เพราะ ลำดับแรก เมื่อเกิดเหตุ ตำรวจนครบาลตั้งใจไปจับบ่อนอย่างเงียบๆ เพราะไม่เรียกสื่อไปด้วยสักคน แต่กลับไม่พบบ่อน เพราะย้ายโต๊ะหนีไปก่อนเพียง 1 วัน พบคนจีนกว่า 200 คน เสพยากันเพลิน



จีนเจ้าของร้านไม่ตกใจ คิดว่า “อั๊วเคลียร์ได้” แต่มีตำรวจน้ำดีไม่เอาด้วย เพราะยามาก เลยรีบกดคลิปส่งให้สื่อก่อน งานนี้เลยเคลียร์ไม่ได้ ตรวจฉี่ที่เกิดเหตุพบฉี่ม่วง 160 คน แต่ภาพกล้องวงจรปิดในร้านถูกลบออกหมด อันนี้ไม่น่าไว้ใจ ครั้งที่ 1



ลำดับที่ 2 เจ้าของพื้นที่ สน.ยานนาวา ตรวจฉี่ผู้ต้องหาที่โรงพัก พบฉี่ม่วงเหลือเพียง 60 คน แถมปล่อยผู้ต้องหาคนสำคัญ หลานนายตู้ห่าว เดินออกไปพร้อมรถหรูของกลางอีก 4 คัน สบายใจเฉิบ



ไม่ไว้วางใจ ครั้งที่ 2 บิ๊กโจ๊กโอนสำนวนมาคุมเอง หมายจับตู้ห่าวกว่าจะออกดองไว้เกือบเดือน จนผมไปยื่นร้องที่กระทรวงยุติธรรม วันรุ่งขึ้น ถึงออกหมายจับ จนถึงบัดนี้สำนวนไป 90% แต่ยังไม่มีข้อหา “ฟอกเงิน” ที่สำคัญ ขณะนี้เหลือผู้ต้องหาฉี่ม่วงในผับจินหลิงอยู่เพียง 6 คน



สู้กับคนรวยมันลำบากอย่างนี้นี่เอง มงกุฎสุดยอดทรัพย์สินของตู้ห่าว คือ โรงแรม ขนาด 380 ห้อง พร้อมที่ดิน มูลค่ามหาศาล วันนี้ แต่ต้องบอกว่า แค่อายัดไว้ชั่วคราว เมื่อพบกับสถานการณ์แบบที่ว่านี้ เป็นเหตุให้ผมต้องไปขอพบอัยการสูงสุดแต่เช้า เพราะถือว่า เป็น “ทนายแผ่นดิน”



ผมเป็น “พลเมืองคนไทย” ย่อมมีสิทธิ์เข้าพบ แต่ผมได้แค่เฝ้าหน้าลิฟต์ ไม่ได้ขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าท่านไม่ว่างพบ จะให้ผมไปยื่นเรื่องกับโฆษกฯ ถ่ายรูปแล้วเผ่น คงไม่ใช่แล้ว จนรองอัยการสูงสุดถึง 2 ท่าน มาพบ ผมร้องว่า คดีนี้สมควรเป็น “คดีนอกราชอาณาจักร”



เหตุเพราะ มียาเสพติดนำเข้ามาจากจีน มีตราประทับภาษาจีนชัดเจน มีคนแปลงสัญชาติไทยเป็นหัวหน้าขบวนการ มีเครือข่ายเป็นชาวจีนเดินทางเข้าออกประเทศอยู่เป็นประจำ และเงินทุนโอนมาจากต่างประเทศด้วยจึงสมควรเป็นคดีนอกราชอาณาจักร และเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ ข่าวหนาหูมาว่า “ยอมเสียแขนขวาดีกว่าเสียชีวิต” เสียเงิน 500 ล้าน ดีกว่าเสียทรัพย์สิน 5,000 ล้าน สงครามยังไม่จบ แม้จะเคลียร์กันหมด สามัคคีชุมนุมกันเรียบร้อย แต่ยังเหลือผมที่ “วิ่งสู้ฟัด” อยู่อย่างเดียวดาย


https://youtu.be/trcjOPvCrP0

คุณอาจสนใจ

Related News