สังคม

สธ.ไม่ยกระดับ ‘ฝีดาษลิง’ เป็นโรคติดต่ออันตราย ด้าน WHO เรียกร้องอาเซียน ยกระดับรับมือการระบาด

โดย petchpawee_k

26 ก.ค. 2565

3 views

จากการที่องค์การอนามัยโลก มีการประกาศให้โรคฝีดาษวานร หรือฝีดาษลิง เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ และต่อมากระทรวงสาธารณสุขประเทศไทย ได้มีการยกระดับศูนย์สถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขกรณีโรคฝีดาษลิง หรืออีโอซี จากระดับกรมควบคุมโรคเป็นระดับกระทรวง


วานนี้ (วันที่ 25 ก.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการวิชาการ ตามพระราชบัญญัติ โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ได้มีการเรียกประชุมแบบออนไลน์เพื่อพิจารณาว่าจะมีการยกระดับโรคฝีดาษวานรในประเทศไทยจากที่ประกาศเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง เป็นโรคติดต่ออันตรายหรือไม่ ทั้งนี้ ที่ประชุมมีการหารือนานกว่า 2 ชั่วโมง


ล่าสุด เวลา 17.30 น. นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค สธ. ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการวิชาการ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ว่า โดยสรุปคณะกรรมการเห็นด้วยกับการดำเนินงานของ สธ.ที่มีการยกระดับศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน หรือ EOC จากระดับกรมเป็นระดับกระทรวง และมีคำแนะนำในเรื่องของการเฝ้าระวัง และให้มีการคัดกรองให้ครอบคลุมทุกกลุ่มครบถ้วน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ทั้งนี้ ระบบสุขภาพด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทยถือว่าสามารถรองรับได้สำหรับโรคฝีดาษลิงภายใต้ศักยภาพที่มีอยู่



ส่วนกรณีโรคฝีดาษลิงที่ประกาศให้เป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังอยู่และจะเป็นโรคติดต่ออันตรายหรือไม่นั้น เนื่องจาก พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 นิยามกำหนดไว้ว่า โรคติดต่ออันตรายต้องมีอาการรุนแรง และแพร่ได้ง่าย รวดเร็ว ซึ่งโรคฝีดาษาวานรยังไม่เข้านิยามนี้ คณะกรรมการวิชาการจึงเห็นชอบให้คงการเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังต่อไปก่อน


ส่วนด้านการรักษา ได้มีการมอบหมายให้กรมการแพทย์ดำเนินการสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ในเรื่องการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อต่อไป โดยให้จัดทำแนวทางการรักษาให้ชัดเจนขึ้น เพื่อให้การดำเนินการมีประสิทธิภาพมากขึ้น รองรับหากกรณีที่มีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น


ขณะที่องค์การอนามัยโลก ได้เรียกร้องให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยกระดับการตรวจสอบ และวางมาตรการป้องกันที่รัดกุม เพื่อรับมือการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิง  หลังจากพบผู้ติดเชื้อในภูมิภาคนี้ จากอินเดีย 3 ราย ,ไทย 1 ราย และสิงคโปร์ 8 ราย  โดยสิงคโปร์แบ่งเป็นพบในประเทศ 4 รายและจากต่างปรเทศ 4 ราย ซึ่งทั้ง 8 รายพบว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกัน 


รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/jSkR4SrQQ2k

คุณอาจสนใจ

Related News