ไร้วี่แวว คนหนีหนี้เกือบทำแม่ลูกโดดสะพาน ย้ายที่ทำงานใหม่ยังเอาชื่อเพื่อนไปค้ำ

เร่งตามตัวคนหนีหนี้ เกือบทำแม่ลูกกระโดดสะพานพุทธฆ่าตัวตาย ทีมข่าวตามไปถึงที่ทำงานใหม่ พบลาออกแล้ว แถมยังเอาชื่อเพื่อนร่วมงานไปค้ำประกันเงินกู้อีกหลายราย

จากกรณีหญิงมัดมือลูกสาววัย 9 ขวบด้วยสายเคเบิ้ลไทร์ ยืนร้องไห้กอดกัน เตรียมจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตายบนสะพานพุทธ หลังสามีที่ทำงานรับราชการอยู่ อบต.แห่งหนึ่ง ใน จ.สมุทรสาคร ได้ทำเรื่องกู้เงินกับธนาคารแห่งหนึ่ง เมื่อปี 2552 พร้อมกับเพื่อนร่วมงานรวม 7 คน โดยแต่ละคนค้ำประกันซึ่งกันและกัน แต่ปรากฎว่ามีรุ่นพี่คนหนึ่งที่ร่วมกู้ด้วยกัน กู้เงินไป 7 แสนบาท ย้ายที่ทำงานใหม่แล้วหนีหนี้ไปเลย สุดท้ายทางธนาคารก็มาไล่บี้กับผู้ค้ำประกัน 6 คน

ต่อมามีหมายศาลส่งมาที่บ้านให้ชำระหนี้แทนรุ่นพี่คนดังกล่าว 6 แสนบาท ถ้ายังเพิกเฉยจะถูกยึดบ้านไปขายทอดตลาด ซึ่งเมื่อวานนี้ทั้งคู่ได้มาเปิดใจในรายการโหนกระแส พร้อมกับเปิดเผยชื่อ หนึ่งในคนที่หนีหายไม่ยอมจ่ายหนี้ จนเป็นเหตุให้ถูกยึดบ้าน ชื่อ นางบัวพรรณ ยางไชย ย้ายไปทำงานที่ อบต.หนองแวง จังหวัดมหาสารคาม

ทีมข่าวลงพื้นที่ไปยัง อบต.หนองแวง อ.กุดรัง ตามที่มีการให้ข้อมูล พบว่าเจ้าหน้าที่กำลังจับกุมพูดคุยกันถึงเรื่องดังกล่าว พร้อมกับบอกว่า นางบัวพรรณ ได้มาปฏิบัติงานที่นี่จริง เมื่อช่วงปี 2560 ตำแหน่งนักวิชาการการเงินชำนาญการ แต่ปัจจุบันได้ลาออกไปแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

ซึ่งทุกคนภายหลังจากที่ทราบข่าวก็รู้สึกตกใจ ไม่คิดว่านางบัวพรรณ คนนี้จะเป็นคนหนีหนี้ โดยทุกคนทราบข่าวพร้อมกันเกือบทั้งสำนักงาน เพราะขณะนั้นกำลังดูรายการโหนกระแสพอดี

และสิ่งที่ผู้สื่อข่าวได้พบอีกประเด็นก็คือ นางบัวพรรณ ได้มีการให้เพื่อนๆ ใน อบต. ไม่ต่ำกว่า 5 คน เซนต์ค้ำประกันเงินกู้เหมือนกัน แต่เป็นบริษัทเงินกู้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย และตอนนี้ทุกคนก็ไม่สามารถติดต่อนางบัวพรรณ ได้แล้ว ทำให้ทุกคนตอนนี้ต้องก้มหน้าก้มตาใช้หนี้แทน ความเสียหายแต่ละคนอยู่ระหว่างหลักพันถึงหลักหมื่นบาท นอกจากนี้ยังมีการขอยืมเงินเพื่อนใน อบต.อีกหลายคน

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งใน อบต. บอกว่า ตอนแรกที่ย้ายมาทำงานที่นี่ก็ดูว่าเป็นคนอัธยาศัยดี พูดจาดี เรื่องยืมเงินใน อบต.มองว่าเป็นเรื่องปกติ ใครชักหน้าไม่ถึงหลังก็หยิบยืมกันได้ ยืมแล้วก็คืน แต่ตนเองไม่เคยถูกบุคคลนี้ยืมเงินหรือให้ไปค้ำประกันอะไร ซึ่งพอระยะหลังๆ เริ่มพบว่ามีคนมาตามหามากขึ้น เข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องของการมาทวงเงิน จนกระทั่งได้ลาออกไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และตอนนี้ทุกคนไม่สามารถติดต่อได้ ไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ไหน ทราบมาว่าจะเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ไปเรื่อยๆ

ขณะที่ผู้ที่ถูกเอ่ยชื่อถึงอีกราย คือนายมณฑล ปิ่นแก้ว ซึ่งเป็นข้าราชการระดับ ผอ.กองสาธารณสุข อยู่ที่อบต.พันท้ายนรสิงห์ ซึ่งเป็นผู้กู้ร่วมกับผู้เสียหายขาดการชำระหนี้ ล่าสุดมีการชี้แจงจากเจ้าตัว ระบุว่า ไม่ได้หนีหนี้ แต่เนื่องจากเกษียณราชการตั้งแต่วันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา ทำให้ไม่มีเงินเดือนเข้าบัญชี ธนาคารไม่สามารถหักเงินได้ ประกอบกับจะรอเงินบำเหน็จจึงยังไม่ได้จ่าย แต่หลังจากทราบเรื่องได้ไปชำระหนี้ที่ค้างอยู่ 2 เดือนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว