สังคม

5 ภาคีเครือข่ายบุคลากรทางการแพทย์ ยื่นหนังสือหนังสือเรียกร้องให้เกิดความโปร่งใสในการกระจายวัคซีนไฟเซอร์

โดย panisa_p

30 ก.ค. 2564

119 views

วันที่ 30 ก.ค. 2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข แนวร่วมบุคลากรทางการแพทย์ ได้แก่ หมอไม่ทน ภาคีบุคลากรสาธารณสุข Nurses Connect DNA บุคลากรทางการแพทย์และอาสาสมัคร สมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์นานาชาติแห่งประเทศไทย (IFMSA Thailand) เข้ายื่นหนังสือต่อตัวแทนกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเรียกร้องให้เกิดความโปร่งใสในการกระจายวัคซีนไฟเซอร์ที่เข้ามาในวันที่ 29 กรกฎาคม 2564


นายแพทย์ปุณณพัฒน์ ทวีพรภูริพงศ์ ตัวแทนเครือข่ายบุคลากรทางการแพทย์กล่าวถึงข้อเรียกร้องที่ต้องการให้กระทรวงสาธารณสุขปฏิบัติ 4 ข้อคือ

1.นำวัคซีน mRNA มาเป็นวัคซีนหลักให้ประชาชนคนไทยทุกคน

2.ชี้แจงและเปิดเผยข้อมูลว่ามีบุคลากรฯ ได้รัวัคซีนAstraZeneca เป็นบูสเตอร์โดสจำนวนเท่าใด และยังเหลือบุคลากรฯ ที่ยืนยันจะรับ Pfizer เป็นจำนวนเท่าใด

3.นำข้อมูลสำคัญที่จะพิสูจน์ความโปร่งใสกลับมาบรรจุในระบบ Cold-chain tracking นั่นคือเส้นทางการกระจายวัคซีน โดยระบุยี่ห้อและล็อตต่างๆของวัคซีน และเปิดให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย เพื่อแสดงความรับผิดชอบของรัฐต่อประชาชนและให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการก้าวข้ามวิกฤต 

4.มีความชัดเจนในการสื่อสารข้อมูลต่างๆ แก่ประชาชน ด้วยการรายงานความคืบหน้าในการจัดสรรวัคซีนพร้อมหลักฐานยืนยันอย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและความไม่มั่นใจ โดยข้อมูลที่สื่อสารจากแต่ละแผนกของหน่วยงานราชการ ควรเป็นข้อมูลที่สอดคล้องกัน


นอกจากนี้เนื้อหาในหนังสือยังระบุว่าสถานการณ์การระบาดของโรค โควิด-19 ภายในประเทศมีความรุนแรงมากขึ้น มีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่มากกว่าวันละหนึ่งหมื่นรายและผู้เสียชีวิตสะสมมากกว่าสี่พันราย นับเป็นหนึ่งในวิกฤตทางสุขภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ประเทศไทยได้ประสบมา


ณ เวลานี้ บุคลากรสาธารณสุขทุกคนล้วนเหนื่อยล้าท่ามกลางภาระงานที่หนักหน่วงและเต็มไปด้วยความเสี่ยง บุคลากรจำนวนมากไม่อาจกลับบ้านเป็นระยะเวลาติดต่อกันหลายเดือน ด้วยกังวลว่าจะนำเชื้อโรคไปสู่ครอบครัว บุคลากรหลายท่านต้องขึ้นเวรติดต่อกันแม้ว่าจะตั้งครรภ์อยู่ หลายท่านติดเชื้อโควิดหรือแม้กระทั่งเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ เช่นเดียวกันกับประชาชนทุกท่านที่ล้วนตกอยู่ภายใต้ความลำบากไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน


แม้ว่าบุคลากรส่วนใหญ่ จะได้รับวัคซีน Sinovac แล้วครบ 2 เข็ม แต่ทว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าทวีคูณมากขึ้น และมีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าวัคชีน Sinovac นั้น มีประสิทธิภาพ ในการป้องกันการติดเชื้อสายพันธ์เดลต้าน้อยกว่าอย่างมีนัยะสำคัญเมื่อเทียบกับวัคซีนชนิดอื่น


จากข้อมูลปัจจุบันในเว็บไซต์ของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าบุคลากรติดเชื้อโควิด-19 มากกว่า 2,000 ราย ขณะเดียวกัน บุคลากรอีกนั บหมื่นรายต้องกักตัวเพื่อตรวจเชื้อช้ำ ซึ่งลดทอนอัตรากำลังในขณะที่ระบบต้องการบุคลากรมากที่สุด


การประกาศของสถานทูตอเมริกาล่าสุดวันที่ 29กรกฎาคม 2564 ที่ระบุว่าสหรัฐอเมริกาจะบริจาควัคซีน Pfizer ให้กับประเทศไทยจำนวน 2.5 ล้านโดส โดยจะมีการนำเข้าล็อตแรก มากกว่า 1.5 ล้านโดสภายในเดือนนี้ และมีกลุ่มเป้าหมายคือ บุคลากรด่านหน้าผู้สูงอายุ และผู้มีความเสี่ยงเป็นหลัก จึงเป็นเหมือนหลักประกันให้แก่บุคลากรด่านหน้า ให้พอคลายความกังวลใจได้ว่าจะเสี่ยงติดเชื้อจากการทำงานน้อย


อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนและไม่ชัดเจนในการจัดสรรวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงเนื้อหาในเอกสารราชการหลายฉบับ ทำให้ประชาชน รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ เกิดความวิตกว่า การกระจายวัคซีนจะไม่เป็นไปตามความจำเป็น หรือว่าจำนวนวัคซีน Pfizer ที่ได้รับมาอาจไม่ถูกจัดสรรให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนที่ต้องการ


จึงขอวิงวอนให้ทางกระทรวงสาธารณสุข ตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับการจัดสรรวัคซีนเพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มอย่างถี่ถ้วน จัดสรรวัคชีนอย่างยุติธรรมให้ผู้ที่สมควรได้รับ รวมถึงเปิดเผยแผนการ และจำนวนการจัดสรรวัคซีน Pfizer ในทุกขั้นตอน เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่บุคลากรด่านหน้า ซึ่งกำลังรับศึกอย่างต่อเนื่องไม่เว้นแต่ละวันโดยไม่ทราบชะตากรรม


เพื่อความโปร่งใสและการกระจายวัคซีนให้ถึงมือผู้ควรได้รับตามความเสี่ยงและความจำเป็น หมอไม่ทน,ภาคีบุคลากรสาธารณสุข, Nurses Connect, สมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์นานาชาติแห่งประเทศไทย (I FMSA-Thailand), DNA บุคลากรทางการแพทย์และอาสาสมัคร, นิสิตนักศึกษาแพทย์เพื่อประชาธิปไตย และภาคีเทคนิคการแพทย์ จ


เพื่อความโปร่งใสและการกระจายวัคซีนให้ถึงมือผู้ควรได้รับตามความเสี่ยงและความจำเป็น หมอไม่ทน,ภาคีบุคลากรสาธารณสุข, Nurses Connect, สมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์นานาชาติแห่งประเทศไทย (I FMSA-Thailand), DNA บุคลากรทางการแพทย์และอาสาสมัคร, นิสิตนักศึกษาแพทย์เพื่อประชาธิปไตย และภาคีเทคนิคการแพทย์ จึง


ด้าน นายแพทย์รุ่งเรือง กิจภาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุขกล่าวหลังรับหนังสือจากทางตัวแทนว่า กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญ ในปัญหาสุขภาพของบุคลากรทางการแพทย์ ช่วงเช้าวันนี้วัคซีนไฟเซอร์ ได้เดินทางถึงประเทศไทย การกระจายวัคซีนดังกล่าวจะเน้นที่กลุ่มแรกซึ่งเป็นภารกิจดูแลแพทย์ และพยาบาลที่เป็นบุคลากรด่านหน้า รวมไปทั้งเจ้าหน้าที่ทำงานในโรงพยาบาลทุกส่วน


โดยยืนยันว่าการกระจายวัคซีนมีระบบที่ดีโปร่งใสตรวจสอบได้ คันแรกวัคซีนจำนวนไม่ต่ำกว่า 70 และจะถูกส่งต่อให้กับบุคลากรด้านหน้า และจัดลำดับความสำคัญลงมาเป็นกลุ่มที่ทำงานเสี่ยงกลุ่มผู้สูงอายุกลุ่มผู้ตั้งครรภ์และกลุ่มที่มีโรคประจำตัวตามลำดับ


อย่างไรก็ตามขอขอบคุณตัวแทนบุคลากรที่เดินทางมาเรียกร้องและเป็นเสียงสะท้อนให้กับบุคลกรท่านอื่น ๆ โดยใช้วิธีสันติ ยืนยันว่าต้องให้ความสำคัญกับบุคลากรทางการแพทย์เพราะถ้าเจ้าหน้าที่บุคลากรด่านหน้าติดเชื้อระบบสาธารณสุขก็จะเดินหน้าต่อไม่ได้ ทุกรายชื่อไม่มีการตกสำรวจ

คุณอาจสนใจ

Related News