พิษโควิด : แยกกันอยู่ ดีกว่ากอดคอตายหมู่ทั้งครอบครัว

สาวออฟฟิศแบ่งลูกกับสามีหนีตายกลับบ้านเกิด หลังประเมินอนาคต หากขืนกอดคอกันอยู่ มีหวังตายหมู่ทั้งครอบครัว เคยรับเงินเดือนหลักหมื่น มารับจ้างขายแตงโมหลักร้อย

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้หลายบริษัทมีการเลิกจ้างงาน หรือเลิกกิจการเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย ทำให้มีผู้ว่างงานเป็นจำนวนมาก ที่ จ.ชัยภูมิ คุณจันทร์เพ็ญ จุลลันท์ อายุ 39 ปี ชาว ตำบลกุดชุมแสง อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ เล่าถึงชีวิตที่พลิกจากสาวออฟฟิศนั่งทำงานในห้องแอร์ มาเริ่มต้นชีวิตใหม่เป็นลูกจ้างขายแตงโม ริมทาง ถนนสายชัยภูมิ-หนองบัวแดง ได้รับค่าจ้างเป็นรายวัน วันละ 300 บาท จากที่เคยได้รับเงินเดือน เดือนละ 2 หมื่นบาท รวมโอที ที่จังหวัดชลบุรี หลังเกิดปัญหาโรคโควิด-19 บริษัทได้ลดพนักงานและเลิกกิจการในที่สุด จนต้องปรึกษากับสามี ตกลงแยกกันอยู่ และแบ่งลูก 3 คนแยกกันไปเลี้ยงดู จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้นจึงค่อยกลับมาเจอกัน

คุณจันทร์เพ็ญ ยอมรับว่าการแยกทางกันมาจากปัญหาส่วนตัวนิดหน่อย แต่ปัญหาหลักคือ โควิดที่ส่งผลให้ต้องมานั่งวางแผนคุยกัน ซึ่งตนมองว่าการที่จะปักหลักทำมาหากินที่ชลบุรี ขณะที่ทุกคนไม่มีงานทำ คงต้องอดตายแน่นอน ดังนั้นต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้านเพื่อไปตั้งหลักก่อน หลังจากที้โควิดซา ค่อยมาเจอกัน

โดยสามีรับภาระเลี้ยงดูลูกชายวัย 12 ปี ส่วนตนรับเลี้ยงลูกวัย 9 ขวบ และ 2 ขวบ ตนหอบลูกทั้ง 2 เดินทางจากจังหวัดชลบุรี กลับมาบ้านตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน จากนั้นได้ฝากลูกไว้กับแม่ให้ดูแล ส่วนตนได้ออกไปหาสมัครงานตามร้านค้าต่างๆ โดยหากมีเจ้าของร้านรับเข้าทำงาน จะไม่เลือกงานทำ แม้เงินเดือนจะได้มากน้อยไม่สำคัญ ขอให้มีเงินกลับมาเลี้ยงดูลูกทั้ง 2 แต่ก็ไม่มีร้านไหนรับ ส่วนใหญ่มีแต่เลิกจ้าง จนมาถึงร้านแผงลอยขายแตงโม ของคุณยายสมจิตร อายุ 64 ปี ที่ตั้งแผงอยู่บนถนนสายชัยภูมิ-หนองบัวแดง ตนจึงเดินเข้ามาของานทำ ซึ่งได้รับความเมตตาจากคุณยาย ให้ทำงานด้วยโดยคุณยายจ่ายค่าแรงให้วันละ 300 บาท

คุณยาย สมจิตร จันทราบุตร ชาว ตำบลกุดชุมแสง อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ เล่าว่า รู้สึกสงสารและเข้าใจ คุณจันทร์เพ็ญ ที่ต้องแบกรับภาระหนี้สิน และเลี้ยงลูกอีก 2 คน จึงรับให้ทำงานด้วย โดยตนจ่ายค่าแรงให้วันละ 300 บาท ทั้งที่ตนขายได้วันละ 500-1,000 บาท จากที่เคยขายได้วันละ 2-3 พันบาทต่อวัน แต่ตนก็คิดเสียว่าช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ดีกว่าปล่อยให้เขาไปทำอาชีพที่ผิดกฎหมาย ซึ่งคิดว่าโรคโควิดนี้คงอยู่กับเราไม่นาน หลังจากมันหายไปจากบ้านเมืองเรา เขาก็คงมีทางไปที่ดีกว่านี้