แจ้งข้อหาเสพยาฯ ญาติ “ชาดา” และพวกเพิ่ม หลังตรวจพบฉี่ม่วง บอกพร้อมจ่ายเงินประกันตัวหากเรียก 2 แสน

วันนี้ (12 มิ.ย. 67) ความคืบหน้าคดีที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.1 จับกุมนายนรเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ หลานชายนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมพวกรวม 4 คน ภายในโรงแรมแห่งหนึ่ง ย่านแขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ พร้อมยึดของกลางยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาไอซ์) 6 ถุง อาวุธปืน 11 มม. 1 กระบอก และกระสุนปืน 6 นัด ก่อนควบคุมมาสอบปากคำ พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาที่ สน.มักกะสัน เมื่อวานนี้ (11 มิ.ย. 67)



เมื่อเวลา 09.13 น. นายเกริกเกียรติ กิ่งแก้ว ทนายความของผู้ต้องหาในคดี เดินทางมาติดตามคดีที่ สน.มักกะสัน โดยให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ในวันนี้หลัก ๆ คือการให้ปากคำ และการยื่นขอประกันตัว ส่วนที่มีการตรวจปัสสาวะของทั้ง 4 คน พบว่าปัสสาวะสีม่วง จะปฏิเสธหรือสู้ข้อกล่าวหาอย่างไรนั้น ก็ต้องว่าไปตามนั้น และให้การตามข้อเท็จจริง หากมีอะไรที่มากกว่านั้นก็ต้องรอให้การกับพนักงานสอบสวนก่อน



เมื่อถามว่า มีรายงานว่าผู้ต้องหามีอาการเครียด นายเกริกเกียรติ กล่าวว่า ตนเองไม่แน่ใจ เพราะตนพึ่งมาถึง ยังไม่เจอกับผู้ต้องหา ส่วนหลักทรัพย์ในการประกันตัวได้เตรียมมาแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวนว่าจะแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมหรือไม่ และรอยื่นตามอัตราที่ศาลเรียก ส่วนผู้ต้องหาจะปฏิเสธข้อกล่าวหาหรือไม่ ต้องรอพูดคุยกันก่อน



นายเกริกเกียรติ ยืนยันว่า ในคดีไม่มีความกังวลใด ๆ ก็ปล่อยให้เป็นไปตามข้อหา และจะต้องไปดูว่าพนักงานสอบสวนจะสอบสวน และแจ้งข้อกล่าวหาอะไรเพิ่มเติมหรือไม่



เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าคดีนี้จะไปกระทบอะไรกับ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยหรือไม่ นายเกริกเกียรติ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกันเลย ส่วนที่นายชาดาบอกว่าหลานของตัวเองเกเรนั้น ตนเองไม่ทราบข้อเท็จจริง ส่วนความสัมพันธ์ของทั้งคู่ตนไม่ทราบ ทราบเพียงแค่ส่วนของคดี



ส่วนที่ผู้ต้องหาไปทำอะไรที่โรงแรมนั้น ระบุว่า ตนเองไม่ทราบ เพราะผู้ต้องหาไม่ได้บอก แต่เท่าที่ทราบคือไปคุยธุระกัน พร้อมยืนยันว่าผู้หญิงทั้งสองคนเป็นคนรู้จักกับนายนรเศรษฐ์ ไม่ใช่เด็กเอ็นฯ ส่วนจะรู้จักกันมานานแล้วหรือไม่นั้น ตอนนี้ไม่ทราบ

ด้านพันตำรวจเอกอุรัมพร ขุนเดชสัมฤทธิ์ ผู้กำกับการ สน.มักกะสัน เปิดเผยว่า หลังจากเมื่อวานนี้ได้ตรวจปัสสาวะของกลุ่มผู้ต้องหา ยืนยันว่าปัสสาวะม่วง พบสารเสพติด วันนี้ทางพนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหาเพิ่ม คือ เสพสารเสพติดให้โทษประเภท 1 หลังเมื่อวานนี้ตำรวจได้แจ้งข้อหาร่วมกันครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาไอซ์) โดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนนายนรเศรษฐ์ โดนแจ้งข้อหามีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืน ไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควรฯ โดยหลังจากนี้หากทำสำนวนเสร็จ จะคุมตัวไปฝากขังที่ศาลอาญาฯ ต่อไป

ขณะที่ตลอดการควบคุมตัวผู้ต้องหาตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา จากการสอบถามสิบเวรหน้าห้องควบคุมผู้ต้องหา ให้ข้อมูลว่า กลุ่มผู้ต้องหามีความเครียด โดยเฉพาะผู้หญิง 2 คน แต่ไม่ได้ร้องขออะไรเป็นพิเศษ และผู้หญิงก็จะพูดเพ้อถึงแต่เรื่องเงินประกันตัว หากจะเอา 200,000 ก็พร้อมโอนทันที แต่เมื่อช่วงเช้าขณะพิมพ์ลายนิ้วมือ นางสาววาลิส เป็นลม เบื้องต้นพบเจ้าตัวมีคดีติดตัว ข้อหาลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ส่วนนายกิจจา มีประวัติยาเสพติด