อาชญากรรม

'ชูวิทย์' แฉอดีตผู้การฯ ตม. เพื่อนร่วมรุ่น 'บิ๊กโจ๊ก' เอี่ยวเปลี่ยนวีซ่าให้แก๊งตู้ห่าว

โดย petchpawee_k

8 ธ.ค. 2565

91 views

ชูวิทย์ แฉยับอดีตผู้การ สตม. เพื่อนร่วมรุ่นบิ๊กโจ๊ก เอี่ยวแปลงวีซ่าให้ทุนจีนสีเทาแก๊งตู้ห่าว เข้ามาทำธุรกิจในไทย พร้อมเปิดเป็นมูลนิธิปรานต์ ฮั่นอวี่ บังหน้า ใช้อ้างทำวีซ่า ประเภทมูลนิธิ-เรียนภาษา กว่าสองพันรายในภาคอีสาน ส่วนเจ้าหน้าที่ ตม.รับทรัพย์อื้อ 1-3 แสนบาทต่อหัว พร้อมถามกลับสันธนะ เป็นสรรพากรเหรอ หลังตั้งข้อสังเกตบริษัทแต่งบัญชีเลี่ยงภาษี พร้อมฝากกระโถนให้เอาไปปิดปากพร้อมกับให้อาหารหมาเอาไปกิน


วานนี้ (7 ธ.ค.65) เวลา 14.00 น. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์แถลงข่าวโดยใช้ชื่อว่า “ปฏิบัติการทลายภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ” โดยเน้นไปถึงขบวนการของเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ที่มีการอำนวยความสะดวกกลุ่มทุนจีนสีเทา ซึ่งเป็นกระบวนการ เปลี่ยนแปลงประเภทวีซ่าของกลุ่มขายทุนจีนสีเทา พร้อมกับเปิดหลักฐานการจัดตั้งมูลนิธิรับจดทะเบียนให้คนจีนพักอาศัยในไทย โดยผิดกฎหมาย


นายชูวิทย์ กล่าวว่า ในขบวนการกลุ่มนายทุนจีนสีเทาที่สามารถเข้ามาทำธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทย มีสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เป็นด่านแรกที่สนับสนุน ส่งเสริมให้กลุ่มดังกล่าวเข้ามาในประเทศได้ ผ่านการเปลี่ยนแปลงประเภทวีซ่า


จากปกติคนจีนที่เข้ามาในประเทศไทยจะเป็นการขอวีซ่าประเภทนักท่องเที่ยว มีระยะเวลา 30 วันซึ่งหากต้องการอยู่นานกว่าที่กำหนด จะติดต่อผ่านนายหน้าชาวจีน ที่เป็นบริษัทกฎหมายที่มีนอมินีชาวไทยและมีนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าว  คอยแนะนำชาวจีนให้บริษัท


และบริษัทจะชี้แจงขั้นตอนการเปลี่ยนประเภทวีซ่าเป็นวีซ่าธุรกิจ หรือ Non B ,Non O (วีซ่าผู้ติดตามอาสาสมัคร) และ ED (วีซ่านักเรียน) ผ่านมูลนิธิ โดยระบุว่าเป็นการทำงานจิตอาสา หรือ เรียนภาษา แต่ละคนจะต้องเสียค่าใช้จ่ายรายละ 100,000-300,000 บาทต่อปี และนายหน้าจะได้ส่วนแบ่ง 20%


นายชูวิทย์ กล่าวว่า จากข้อมูลที่รวบรวมมาได้เมื่อปี 2563-2564 มีคนจีนที่ยื่นขอเปลี่ยนประเภทวีซ่าผ่านมูลนิธิแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น จำนวน 2,847 ราย /  มูลนิธิแห่งหนึ่งใน จ.กาฬสินธุ์ ออกวีซ่า 907 ราย  สำหรับคนจีนที่ยื่นขอเปลี่ยนประเภทวีซ่าผ่านมูลนิธิ ประกอบด้วย


   - มูลนิธิแห่งหนึ่งใน จ.ขอนแก่น ออกวีซ่าจำนวน 2,847 ราย

    - มูลนิธิแห่งหนึ่งใน จ.ชัยภูมิ ออกวีซ่าจำนวน 1,028 ราย

    - มูลนิธิแห่งหนึ่งใน จ.กาฬสินธุ์ ออกวีซ่าจำนวน 907ราย

    - มูลนิธิแห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมา ออกวีซ่าจำนวน 466 ราย

    - มูลนิธิแห่งหนึ่งใน จ.อุดรธานี ออกวีซ่าจำนวน 334 ราย

    - มูลนิธิแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ ออกวีซ่าจำนวน 312 ราย

    - มูลนิธิแห่งหนึ่งใน จ.สกลนคร ออกวีซ่าจำนวน 295 ราย

    - มูลนิธิแห่งหนึ่งใน จ.อำนาจเจริญ ออกวีซ่าจำนวน 283 ราย

รวมทั้งสิ้น 6,472 ราย


และเมื่อเทียบสัดส่วนมูลนิธิที่แจ้งเปลี่ยนวีซ่าให้กับคนจีนทั้งหมด มูลนิธิแห่งหนึ่งใน จ.ขอนแก่น คิดเป็น ร้อยละ 58 จากทั้งหมด นายชูวิทย์ จึงได้ส่งทีมงานไปตรวจสอบที่ตั้งของมูลนิธิแห่งนี้ ปรากฎว่าเป็นเพียงบ้านเล็กๆ ในหมู่บ้านจัดสรรธรรมดาเท่านั้น จึงเป็นที่สังเกตว่าจะเป็นที่ทำงานของคนเกือบ 3,000 คนได้อย่างไรกัน


ดังนั้นหน่วยงานที่รับผิดชอบอย่าง ตม. และผู้ที่มีอำนาจในการเปลี่ยนประเภทวีซ่าคือผู้บังคับการ ตม. 4 และ 5 ในห้วงเวลาปี 2563-2564 คือ พล.ต.ต. ด / พล.ต.ต. ก และ พล.ต.ต. ณ โดยปรากฎว่าสองรายแรกเป็นเพื่อนร่วมรุ่น กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบในคดีธุรกิจจีนสีเทา


นายชูวิทย์ ยังตั้งคำถามถึงกรณีเพื่อนร่วมรุ่นของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์  ด้วยว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล้าที่จะตรวจสอบเพื่อนร่วมรุ่นตัวเองหรือไม่ และอยากฝากไปยังผบ.ตร.และนายกรัฐมนตรี ช่วยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วย ทำไมตม.จึงทำแบบนี้ได้


นายชูวิทย์ ยังระบุด้วยว่า จากนี้จะออกมาเปิดเผยในประเด็นสมาคมเถื่อนที่ทำหน้าที่แนะนำให้คนจีนที่เข้ามาในประเทศรู้จักกับคนที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย โดยจะนำภาพที่ถ่ายกับบุคคลดังไปโฆษณาในช่องทางต่างๆ รวมถึงขบวนการอุ้มท้องซื้อพ่อ ให้รอติดตามกันต่อไป

----------------------------------------------------------

“สันธนะ” แฉกลับ “ชูวิทย์” ทำบัญชีงบดุลขาดทุน ตั้งแต่ปี 2543 ตั้งคำถาม ตกแต่งบัญชีเพื่อหลบเลี่ยงภาษีหรือไม่ และกรรมการบริษัทกู้ยืมกว่า 400 ล้านบาท ทั้งที่มีภาะขาดทุน


วานนี้ (วันที่ 7 ธ.ค.) นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล ตั้งโต๊ะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยระบุว่า ตั้งแต่ปี 2543 บัญชีงบดุลของบริษัทของนายชูวิทย์มีภาวะขาดทุนมาตลอด โดยตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการตกแต่งบัญชีเพื่อหลบเลี่ยงการจ่ายภาษีหรือไม่ อีกทั้งการปล่อยให้กรรมการบริษัทมากู้ยืมเงินบริษัทประมาณกว่า 400 ล้านบาท ทั้งที่มีภาะขาดทุน เป็นไปได้อย่างไร ทั้งนี้ยังนำโฉนดที่ดินของ 3 บริษัทมาแสดงเพื่อยืนยันว่าบริษัทดังกล่าวเป็นของนายชูวิทย์จริง


โดยจะนำเอกสารทั้งหมดนี้ไปยื่นต่อกรมสรรพากรให้ดำเนินการตรวจสอบบริษัทนายชูวิทย์ ส่วนวันนี้ยืนยันว่าจะเดินหน้าเอาผิดนายชูวิทย์แม้ว่าตอนนี้ตนได้ร้องทุกข์กล่าวโทษนายชูวิทย์ไปแล้วถึง 9 คดี ซึ่งจะรอดูความชัดเจนอีกครั้งในบ่ายวานนี้ แต่เบื้องต้นตั้งข้อสังเกตุว่าการที่นายชูวิทย์ไปมอบแบริเออร์ให้กับ สน.ทองหล่อนั้น ตนเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมทางกฎหมายเนื่องจากตนมีคดีความกับนายชูวิทย์อยู่ที่นั่น

นอกจากนี้นายสันธนะ ยังได้โชว์ภาพอดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่ไปร่วมงานแต่งลูกชายนายชูวิทย์ว่าตั้งข้อสังเกตุถึงความใกล้ชิดสนิทสนมกัน ซึ่งสันนิษฐานว่าบุคคลในภาพนั้นน่าจะอยู่เบื้องหลังนายชูวิทย์หรือไม่ เนื่องจากกระแสสังคมมีการสร้างวาทะกรรมให้ตนเป็นคนขายชาติ ซึ่งเชื่อว่าเป็นปฏิบัติการไอโอ

------------------------------------------------

“ชูวิทย์” ถามกลับ “สันธนะ” เป็นสรรพากรเหรอ หลังตั้งข้อสังเกตบริษัทแต่งบัญชีเลี่ยงภาษี พร้อมฝากกระโถนให้เอาไปปิดปากพร้อมกับให้อาหารหมาเอาไปกิน



ขณะที่ วานนี้ (7 ธ.ค.65) เวลา 14.00 น. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก่อนการ แถลงข่าว “ปฏิบัติการทลายภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ” ได้เดินมาพร้อมกับสุนัขของตัวเอง พร้อมกับหยิบซองอาหารของสุนัขออกมา และยื่นอาหารใหสุนัข แล้วบอกว่า


“สันๆ นี่ๆ อย่าทำตัวเป็นหมาบ้า สัมภาษณ์อะไรให้รู้เรื่องหน่อย ทำตัวไม่ดีไม่ให้กอนนะไอ้สัน อย่าไปเลอะเทอะ อย่าไปเห่ามั่ว เลี้ยงหมาต้องคุมให้อยู่”

โดยนายชูวิทย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่นายสันธนะตั้งคำถามว่าบริษัทอาบอบนวดของนายชูวิทย์ที่ผ่านมา เคยเสียภาษรหรือไม่ หรือทำการตกแต่งบัญชี เลี่ยงการจ่ายภาษี ซึ่งนายชูวิทย์ ยอมรับว่าการทำการค้าต้องมีการกู้เงินจากธนาคารเป็นเรื่องปกติ ที่ผ่านมาตนเองได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินให้ตรวจสอบตั้งแต่เล่นการเมือง เป็นหัวหน้าพรรคมาก่อนต้องรายงานเรื่องการเงินอยู่แล้ว


ก่อนจะถามกลับว่า “นายสันธนะเป็นสรรพากรเหรอ คุณเป็นแค่ตำรวจที่ถูกไล่ออกจากราชการด้วยการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และปัจจุบันคุณก็ยังประพฤติชั่วอยู่ดี จะมารู้รายละเอียดเรื่องนี้และตรวจสอบตัวเองได้อย่างไร”


พร้อมกันนี้ นายชูวิทย์ ยอมรับว่ามีความสนิทสนมกับอดีต ผู้บัญชาการทหารบกที่มาร่วมงานแต่งลูกชาย ซึ่งรู้จักกันมานานกว่า 30 ปี สนิทกันเป็นเรื่องปกติ ยืนยันว่าท่านไม่เกี่ยวข้องกับการเผยข้อมูลเรื่องทุนจีนสีเทานี้ และไม่ได้อยู่เบื้องหลังใดๆ แต่ถ้าอยู่เบื้องหลังจริงๆ ถือเป็นเรื่องที่ดีเพราะเป็นการทำคุณประโยชน์ เพราะไม่ได้โจมตีใคร


ทั้งนี้ ระหว่างการแถลงข่าว สุนัขของนายชูวิทย์ เดินไปมาอยู่บริเวณนั้น นายชูวิทย์ ได้พูดคุยกับสุนัขเป็นระยะๆ เช่นว่า “อย่าไปซี้ซั้วนะมึงเอ้ย เนี่ยๆๆเห็นมั้ยสันดานไม่เปลี่ยนนะมึงเนี่ย พูดเลอะเทอะ พูดไปเรื่อย ไม่กลับตัวกลับใจ”


 บางช่วงก็พูดว่า “สันเอ้ย สันดานเป็นแบบนี้ เปลี่ยนแปลงตัวเองซะนะลูก พร้อมกับลูบหัวไปหนึ่งที


ภายหลังการแถลงเสร็จสิ้น นายชูวิทย์ได้ยกกระโถนและอาหารสุนัขขึ้นมาบอกว่าฝากให้นายสันธนะด้วย “มึงเอากระโถนไปปิดปากหน่อย และเอาอาหารหมาไปกินถ้าหิวมากนัก” พร้อมบอกว่า “ทำไมนายสันธนะไม่ใช้ข้อมูลบ้าง เรียกสื่อไปคุยปากเปล่า แล้วมาถามผมปากเปล่า มีสิทธิ์อะไร แล้วผมจำเป็นต้องไปตอบโต้คุณเรื่องอะไร คุณมันคนละชั้นกับผม”



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/RuMXNtBAkJA

คุณอาจสนใจ

Related News