อาชญากรรม

เปิดปฏิบัติการ “ตัดลิ้นจิ้งจอก” จับกุมขบวนการค้ามนุษย์-ข่มขืนเยาวชน

โดย paranee_s

8 พ.ย. 2565

475 views

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ร่วมกับ สำนักงานคดีค้ามนุษย์ สำนักงานอัยการสูงสุด เปิดปฏิบัติการ “ตัดลิ้นจิ้งจอก” จับกุมขบวนการจ้างพยานให้กลับคำให้การในคดีค้ามนุษย์ และจับกุมเครือข่าย นำเด็กอายุต่ำกว่า อายุ 18 ปี ค้าบริการทางเพศออนไลน์


โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ปคม. ได้ปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นจับกุม (Operation) ผู้ต้องหาขบวนการจ้างวานกลับคำให้การฯ, ขบวนการค้ามนุษย์เครือข่ายนายหน้าฯและผู้ใช้บริการในลักษณะทารุณทางเพศ ทั้งสิ้น 3 กลุ่มหลัก โดยเริ่มจาก


บุกจับกุมขบวนการจ้างพยานให้กลับคำให้การในคดีค้ามนุษย์ สืบเนื่องจากการที่เจ้าหน้าที่อัยการ ได้เข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ที่ กก.5 บก.ปคม. ว่าเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2565 น.ส.บี (นามสมมุติ) ผู้เป็นพยาน ได้ขึ้นเบิกความในชั้นศาล และได้กลับคำให้การในสาระสำคัญ ซึ่งมีผลต่อการพิจารณาคดี และพบพยานหลักฐานบางอย่างที่สื่อให้เห็นว่า น.ส.บิ๋ม จำเลยในคดีค้ามนุษย์ คดีอาญาที่ 14/2563 ของ กก.5 บก.ปคม. และ น.ส.แป้ง มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นผู้ร่วมขบวนการจ้างล้มคดีค้ามนุษย์ ดังนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ปคม. จึงรับคำร้องทุกข์ และดำเนินการสืบสวนสอบสวน


เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.5 บก.ปคม. ได้ลงพื้นที่ไปซักถาม น.ส.บี (พยาน) จนสารภาพว่าได้รับเงินค่าจ้างเป็นเงิน 100,000 บาท จาก น.ส.บิ๋ม เป็นค่ากลับคำให้การในชั้นศาล เพื่อที่ น.ส.บิ๋ม จะได้พ้นจากความผิด ในฐานความผิดค้ามนุษย์ โดย น.ส.บี (พยาน) ได้รับการว่าจ้างผ่าน น.ส.แป้ง ซึ่งเป็นคนกลางที่เข้ามาติดต่อเสนอเงิน


เมื่อรับข้อเสนอแล้ว น.ส.บี (พยาน) ได้รับเงินจำนวน 2 งวด งวดแรก น.ส.บี (พยาน) ได้ก่อนไป เบิกความต่อศาล 1 สัปดาห์ จำนวน 30,000 บาท และงวดที่สอง จำนวน 70,000 บาท น.ส.บี (พยาน) ได้รับหลังจากที่ไปกลับคำให้การต่อศาลแล้ว ส่วนน.ส.แป้ง ได้รับส่วนแบ่ง จำนวน 20,000 บาท ในการเป็นคนกลาง ติดต่อประสานงาน


ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การของ น.ส.บี (พยาน) จึงเชื่อได้ว่า ผู้ต้องหาได้มีการจ้างวานพยานให้กลับคำให้การในชั้นพิจารณาคดีของศาล เพื่อให้ผู้ต้องหาหลุดพ้นจากความผิดในชั้นพิจารณาคดี


โดยเมื่อวันที่ 22 ก.ย.2565 พนักงานอัยการได้ยื่นรายงานสืบสวน และคำให้การของพยานต่อศาล ส่งผลให้ศาลมีคำสั่งให้ถอนประกัน น.ส.บิ๋ม พนักงานสอบสวน จึงได้ร้องขอต่อศาลออกหมายจับขบวนการดังกล่าว เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย


ต่อมาในวันที่ 7 พ.ย.2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนทราบว่า น.ส.แป้ง อายุ 28 ปี ทำหน้าที่เป็นคนกลางติดต่อประสานงาน ได้หลบหนีมาอยู่ที่ ต.แม่ฮ้อยเงิน อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ จึงได้ติดตามตัวมา เพื่อดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันขัดขวางการสืบสวน การสวบสวน การฟ้องร้อง หรือการดำเนินคดีความผิดฐานค้ามนุษย์ เพื่อมิให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยการให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ผู้เสียหายหรือพยาน เพื่อให้ข้อเท็จจริงหรือเบิกความอันเป็นเท็จ หรือไม่ให้ข้อเท็จจริง หรือเบิกความในการดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิด” นำส่ง พงส.กก.5 บก.ปคม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย


จากการสอบถามคำให้การผู้ต้องหา ให้การภาคเสธ โดยจะขอให้การเกี่ยวกับรายละเอียดในชั้นศาล


และได้จับกุมขบวนการค้ามนุษย์ เจ้าของโรงแรม ผันตัวเป็นนายหน้า นำเด็กอายุต่ำกว่า อายุ 18 ปี ค้าบริการทางเพศออนไลน์ สืบเนื่องจากการที่ กก.5 บก.ปคม. ได้เร่งรัด กวดขัน กวาดล้าง จับกุม การกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ ในพื้นที่รับผิดชอบ และได้ทำการช่วยเหลือเหยื่อ อายุ 14-17 ปี จากการขายบริการทางเพศได้หลายราย ในหลายพื้นที่ ได้แก่ จ.สุพรรณบุรี, จ.ชัยนาท, จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.นครศรีธรรมราช


นอกจากนี้ยังได้มีการขยายผลเพื่อดำเนินคดีกับเครือข่ายผู้กระทำผิดทั้งระบบ จนสามารถดำเนินคดีค้ามนุษย์กับกลุ่มผู้ต้องหาได้จำนวน 6 คดี ผู้ต้องหา 10 คน และยังพบว่ามีกลุ่มผู้อาจถูกแสวงประโยชน์โดยมิชอบกว่า 10 ราย


จากการสืบสวนพบว่ามีกลุ่มผู้ต้องหาซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่ง ใน จ.สุพรรณบุรี เปิดบริการโรงแรมบังหน้าแต่เบื้องหลังใช้โรงแรมดังกล่าว นำเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี มาขายบริการทางเพศ เก็บเงินค่าห้อง และค่าหัวคิวจากเด็ก เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ปคม. จึงลงพื้นที่ตรวจสอบ พบว่ามี นายนเรศ หรือเทิง ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมดังกล่าว มีพฤติกรรมขายบริการทางเพศเด็กมาเป็นเวลานานตามที่ได้รับข้อมูลมาจริง


ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นภัยต่อ เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส เข้าข่ายเป็นผู้ชักนำ ยุยง ส่งเสริม ให้เด็กกระทำสิ่งที่ผิดต่อกฎหมาย และศีลธรรม ทำให้เด็กอาจสุ่มเสี่ยงต่อการติดโรคทางเพศสัมพันธ์ และถูกทารุณในหลายๆ ด้าน จึงได้เร่งรัดรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตามกฎหมาย


ต่อมาในวันที่ 7 พ.ย.2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้สืบสวนติดตามผู้ต้องหาในขบวนการดังกล่าวทั้งหมด 7 ราย ส่ง พงส.กก.5 บก.ป. ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ได้แก่ นายนเรศ หรือเทิง อายุ 33 ปี ให้การภาคเสธ และขอให้ไปให้การในชั้นศาลต่อไป, น.ส.น้ำผึ้ง หรือผึ้ง อายุ 21 ปี ให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา, น.ส.สุธีธิตา หรือแจ๋ม อายุ 22 ปี ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา, น.ส.เบญจรงค์ หรือกุ้ง อายุ 30 ปี ให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา, น.ส.ชนานันท์ หรือเมย์ อายุ 27 ปี อยู่ที่ ให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา, น.ส.อรสา หรือเปิ้ลฯ อายุ 48 ปี ให้การ ภาคเสธ และขอให้ไปให้การในชั้นศาลต่อไป และน.ส.หนูพร หรือพร อายุ 50 ปี ให้การภาคเสธ และขอให้ไปให้การในชั้นศาลต่อไป


นอกจากนี้ยังมีการขยายผลจับกุมนายหน้าค้าบริการทางเพศ ลวงเด็ก 15 ปี ข่มขืนถ่ายคลิปแบล็กเมล เหยื่อแฉบังคับเสพยา ชักปืนขู่ สืบเนื่องจากการที่เจ้าหน้าที่ กก.5 บก.ปคม. ขยายผลจับกุมกลุ่มนายหน้าขายบริการทางเพศในจ.กาญจนบุรี และช่วยเหลือ น.ส.เอ นามสมมุติ อายุ 15 ปี (ผู้เสียหาย)


จากการซักถามพบว่ามีนายสมทรง หรือตง มีการกระทำในลักษณะบังคับ ข่มขู่ ขืนใจ โดยบังคับผู้เสียหายเสพยาเสพติดในปริมาณมาก มีการนำอาวุธปืนวางให้ผู้เสียหายเห็นจนเกิดความกลัวจนไม่กล้าขัดขืน และขณะที่ถูกข่มขืน นายสมทรง ได้แอบถ่ายคลิปไว้ และนำคลิปที่แอบถ่ายผู้เสียหาย ไปโพสต์ในโลกออนไลน์ ก่อนนำมาโชว์ผู้เสียหาย


นอกจากนี้ครอบครัวของ นายสมทรง ยังเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี ทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวจึงไม่กล้าบอกเรื่องดังกล่าวกับผู้ใด


เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ปคม. จึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ พบว่า นายสมทรง มีพฤติกรรมชอบซื้อบริการเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี โดยใช้บ้านเป็นสถานที่ร่วมหลับนอน โดยให้เด็กเข้าไปในห้องนอน แล้วบังคับให้เสพยาจนเกินขนาด ขาดสติ และถ่ายคลิปขณะร่วมหลับนอน นำไปโพสต์ในโลกออนไลน์


ซึ่งการกระทำดังกล่าว เป็นการทารุณเด็กโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย และอาจส่งผลให้เด็กเสียชีวิตจากการเสพยาเกินขนาดได้ จึงได้เร่งรัดรวบรวมพยานหลักฐาน ออกหมายจับผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมาย


ต่อมาวันที่ 8 พ.ย.2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปคม. ได้ทำการตรวจค้นบ้านพักของนายสมทรง ผลการตรวจค้น พบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 (คีตามีน) จำนวนหนึ่ง และอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน ขนาด .45 จำนวน 20 นัด และยังพบอุปกรณ์กล้องถ่ายรูป สำหรับ การถ่ายทำคลิปวิดีโอ และได้ช่วยเหลือเด็กหญิงผู้เสียหายจำนวน 3 ราย อายุ 13 ปี 14 ปี และ 17 ปี


ซึ่งจากการสอบถามเด็กสาว ทั้ง 3 ราย ให้การตรงกันว่า นายสมทรง มีพฤติการณ์บังคับให้เสพยาเสพติด และมีการเรียกเด็กสาวทั้ง 3 ราย ผลัดกันไปมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งแอบตั้งกล้องถ่ายคลิปวิดีโอขณะมีเพศสัมพันธ์ และนำไปลงแอปพลิเคชันเพื่อเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์


กองบังคับการบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ ได้ควบคุมตัวนายสมทรง เพื่อดำเนินคดีตามหมายจับดังกล่าวและขยายผลเพื่อดำเนินคดีในฐานความผิด “พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย, พาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม และบังคับ ขู่เข็ญ ใช้ ชักจูง ยุยง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กแสดงหรือกระทำการอันมีลักษณะ ลามกอนาจาร ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าตอบแทนหรือเพื่อการใด” และสำหรับความผิดในฐานอื่นนั้น จะได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีในฐานความผิดอื่น ต่อไป



คุณอาจสนใจ

Related News