อาชญากรรม
รวบหมอกระเป๋า เปิดคอนโดจิ้มหน้า ย่านวิภาวดี
โดย paranee_s
21 ก.ย. 2565
839 views
วันนี้ (21 ก.ย. 65) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นำโดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.,พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย รอง ผบช.ก.,พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ., พ.ต.อ. ธรากร เลิศพรเจริญ, พ.ต.อ.สำเริง อำพรรทอง, พ.ต.อ.ณัฐวัฒน์ เกศะรักษ์, พ.ต.อ.สมเกียรติ ตันติกนกพร รอง ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.4 บก.ปคบ., กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โดย นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, นายแพทย์ภานุวัฒน์ ปานเกตุ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
ร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติงาน กรณีจับกุม น.ส. กัลยา อายุ 37 ปี และ น.ส.จรรยมณฑน์ อายุ 32 ปี แจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันดำเนินกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต”
โดย น.ส. กัลยา ยังถูกจับกุมดำเนินคดีอีกใน 3 ฐานความผิด คือ ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525, ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 และขายยาที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยา ตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510
การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ได้รับแจ้งจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพว่ามีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ลงประกาศให้บริการฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ นอกสถานที่ โดยบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ และโฆษณาว่า ฉีดกับพยาบาล (สามารถเช็กใบประกอบวิชาชีพได้ ประสบการณ์มากกว่า 10 ปี) เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการสืบสวนจนทราบถึงสถานที่ ที่ใช้นัดหมายกลุ่มผู้ใช้บริการ
ต่อมาเมื่อวันที่ 20 ก.ย. 65 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. ร่วมกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เข้าตรวจสอบห้องชั้น 2 ในคอนโด ซอยวิภาวดี 20 แขวงจอมพล เขตจตุจัตร กรุงเทพมหานคร พบว่า มีการบริการฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ให้กลุ่มผู้รับบริการจริง และพบ น.ส.กัลยา อายุ 37 ปี และ น.ส.จรรยมณฑน์ อายุ 32 ปี ทั้งยังมียาแผนปัจจุบัน ยาไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยา รวมถึงอุปกรณ์การให้บริการ และเวชภัณฑ์ในลักษณะเตรียมพร้อมสำหรับผู้มารับบริการ จำนวน 21 รายการ
เมื่อขอตรวจสอบใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมของ นางสาว กัลยา ได้นำใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมการพยาบาลและการผดุงครรภ์ มาแสดงกับเจ้าหน้าที่ แต่สถานที่ดังกล่าวไม่ได้ขออนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงจับกุมตัวผู้ต้องหาพร้อมตรวจยึดของกลางส่งพนักงานสอบสวน กก.4 ดำเนินคดี
เบื้องต้นการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตาม
1. พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 มาตรา 16 ฐาน “ประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต และดำเนินกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. พ.ร.บ.วิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ.2537 มาตรา 28 ฐาน “ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมฯโดยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3. พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 ฐาน “ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท และ “ขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชน ควรศึกษาข้อมูลคลินิก แพทย์และขั้นตอนการรักษาให้ดีก่อนที่จะเข้ารับบริการเสริมความงามเนื่องจากการเสริมความงามเป็นขั้นตอนและวิธีการที่จะต้องใช้ผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางและเกิดผลกระทบกับร่างกายโดยตรง และแจ้งเตือนไปยังผู้ที่ลักลอบกระทำความผิด ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่สวมรอยเป็นหมอ, หมอเถื่อน หรือคลินิกเถื่อน ให้หยุดพฤติการณ์ดังกล่าวทันที หากตรวจพบจะดำเนินคดีโดยเด็ดขาด พี่น้องประชาชนสามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ สายด่วน บก.ปคบ.1135 หรือเพจ ปคบ.เตือนภัยผู้บริโภค
นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า การฉีดสารเสริมความงามนั้น ถือว่าเป็นการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ต้องกระทำโดยแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพ และต้องให้บริการภายในสถานพยาบาลที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีการให้บริการเดินสายให้บริการนอกสถานที่แต่อย่างใด
ซึ่งการฉีดสารเสริมความงามด้วยบุคคลที่มิใช่แพทย์นั้น ย่อมส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ร่างกาย จนเกิดความพิการ หรืออาจจะรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต จากการที่สารเสริมความงามรั่วไหลเข้าไปอุดตันในเส้นเลือดจนตาบอด หรือเกิดการติดเชื้อ จึงขอแนะให้ประชาชนทุกท่านเลือกรับบริการเสริมความงามกับสถานพยาบาลที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น
ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับอันตรายจากบริการทางการแพทย์ของสถานพยาบาลเอกชน หรือมีเบาะแสการกระทำผิดของหมอเถื่อน หมอกระเป๋า สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนกรม สบส. 1426 เพื่อตรวจสอบให้ความเป็นธรรม และนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป