เลือกตั้งและการเมือง
เตรียมพร้อมเปิดบ้าน “ดอน” ชวนเที่ยวอยุธยาเรียนรู้รากเหง้าทางการทูต
โดย JitrarutP
5 มี.ค. 2564
151 views
เมื่อพูดถึงประวัติศาสตร์ทางการทูตหลายท่านคงนึกถึงฉากหนึ่งในละครบุพเพสันนิวาส
ของทางช่อง3 ที่พาคนไทยย้อนกลับไปในเหตุการณ์ปี พ.ศ.2228 เมื่อครั้ง
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เสด็จออกรับการถวายพระราชสาส์นจากคณะราชทูตฝรั่งเศสที่มาเจริญสัมพันธไมตรีกับสยาม
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ไม่เพียงแต่ชาติฝรั่งเศสเท่านั้นความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับนานาชาติได้เกิดขึ้นมาอย่างหลากหลายและต่อเนื่องผ่านการค้าขายและเหตุผลต่างๆ ทั้งในมิติความสัมพันธ์ทางศาสนา การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ตลอดจนการเมืองการปกครอง ในฐานะที่อยุธยาเป็นราชธานีสำคัญที่เจริญรุ่งเรืองอย่างมากของภูมิภาคในยุคนั้นทำให้อยุธยาได้ชื่อว่าเป็น”สังคมพหุวัฒนธรรม” อันเป็นรากเหง้าส่งผลมาจากถึงมาจนถึงทุกวันนี้
ร่องรอยประวัติศาสตร์
ที่ยังคงหลงเหลือผ่านบันทึก ภาพเขียน และโบราณวัตถุ โบราณสถาน ในปัจจุบันยังคงสะท้อนถึงความมั่งคั่งของกรุงศรีอยุธยาได้เป็นอย่างดี
โดยเฉพาะ ที่ตั้งหมู่บ้านนานาชาติ
ทั้งหมู่บ้านญี่ปุ่น บ้านโปรตุเกส บ้านฮอลันดา
ที่สะท้อนถึงยุทธศาสตร์ทางการปกครองและยังมีผลมาถึงยุครัตนโกสินทร์
โดยเฉพาะการแบ่งโซนนิ่ง กำหนดพื้นที่ให้ชาติต่างๆ ที่ล่องเรือเข้ามาทำการค้าขายมีพื้นที่อาศัยเฉพาะบริเวณทางทิศใต้ของเกาะอยุธยาเท่านั้น
เพื่อให้เรือชาติต่างๆ ต้องผ่านการจัดเก็บภาษี และเป็นยุทธศาสตร์ความมั่นคง
ที่ไม่ให้เข้าถึงเกาะเมืองอยุธยาอันเป็นใจกลางสำคัญได้ง่าย
ทำให้เกิดเป็นหมู่บ้านชาติต่างๆ ขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียงกัน
ในยุคปัจจุบันกรุงเทพมหานครไม่เพียงแต่ถอดแบบชื่อสถานที่วัดวาอารามมาจากกรุงศรีอยุธยาเท่านั้น
การจัดโซนนิ่งยังเกิดขึ้น ในสมัยรัชกาลที่4
เห็นได้จากสถานทูตของประเทศต่างๆถูกกำหนดให้อยู่เรียงรายริมแม่น้ำเจ้าพระยา
หรือย่านสาทรโซนทิศใต้ของกรุงเทพ รวมถึงพื้นที่ชาวจีน ชาวแขกย่านเยาวราช
เพื่อไม่ให้เข้าถึงเขตพระนครได้ง่าย อันเป็นใจกลางของราชธานี
การลงพื้นที่ของกระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 3 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยนายดอน ปรมัตถ์วินัย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยนายธานี แสงรัตน์
อธิบดีกรมสารนิเทศ นำคณะสื่อมวลชนตามรอยประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น ณ
หมู่บ้านญี่ปุ่น บ้านโปรตุเกส บ้านฮอลันดา และวัดนักบุญยอเซฟ
ที่นอกจากจะทำให้เห็นมุมมองการท่องเที่ยวที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์กับต่างประเทศแล้ว
ยังเป็นการเชิญชวนให้คนไทยได้หันมาให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวภายในประเทศ
และเตรียมพร้อมเป็นเจ้าบ้านในการประชุมเอเปกในปี2565 ด้วย
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า
การท่องเที่ยวอยุธยาทำให้เราได้รับรู้รากเหง้าการต่างประเทศของไทยมากขึ้นรวมถึงบทบาทของกรุงศรีอยุธยาในด้านต่างๆซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมาก
ความจริงแล้วไม่เพียงแต่ประเทศฝรั่ง
แต่อยุธยายังมีความสัมพันธ์กับชาติอื่นๆอย่างหลากหลาย ทั้ง ญี่ปุ่น ชาวเปอร์เซีย
แขก พม่า หรือแม้กระทั้งชาวมะละกา ซึ่งแต่ละประเทศจะมีเรื่องราวเชื่อมโยงกัน
โดยมีกรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางการติดต่อค้าขาย
หรือที่เรียกว่า “Hub”
เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างตะวันตก และตะวันออก
และยังคงส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน
ที่จะเรียกว่าเป็นศูนย์กลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็ไม่ผิด
และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ยังเป็นศูนย์กลางของเอเชีย ประกอบกับไทยยังเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกด้วย ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ที่มีความหมาย
อย่างไรก็ตามโบราณสถานเหล่านี้อยู่กับที่มาเป็นเวลานานจำเป็นที่จะต้องส่งเสริมเพื่อให้เกิดการรับรู้อย่างกว้างขวาง
และกิจกรรมต่างๆ ยังน้อยไป จำเป็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องบูรณาการการทำงานร่วมกัน
เพื่อช่วยกันทำ ให้เกิดการรับรู้อย่างกว้างขวาง ไม่ใช่แค่เฉพาะคนในต่างประเทศ
แต่คนไทยด้วยกันเองและคนในภูมิภาคของอาเซียน
และนอกจากความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแล้ว
ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางด้านศาสนา และยังมีอาหารการกินที่ค่อนข้างหลากหลาย
สำหรับโลกหลังโควิด-19 รองนายกรัฐมนตรีเชื่อว่า
ภูมิภาคนี้จะได้รับความสนใจมากขึ้น
และไทยเป็นจุดหมายปลายทางของประเทศต่างๆในภูมิภาค
เพราะไทยเปรียบเสมือนหนึ่งในแม่เหล็กของอาเซียนด้วย
จากประสิทธิภาพในการบริหารจัดการโควิด-19 และในหลายเรื่องที่เราสามารถดำเนินการด้วยตัวของเราเอง
ซึ่งถือเป็นจุดแข็ง หรือที่เรียกว่า soft power หรือ อำนาจละมูล ที่ไม่ใช่ว่าใครอยากมีอำนาจอะไร
แล้วประกาศตัวเองเช่นนั้นได้ เพราะมันเกิดขึ้นจากความเพียบพร้อมในหลายปัจจัย
และขณะนี้อาเซียนได้มอบหมายให้ไทยโมเดลเศรษฐกิจ
Bio-Circular-Green
economy (BCG) ในการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศและภูมิภาค
เพื่อผลักดันให้เป็นยุทธศาสตร์ของอาเซียน ในโลกยุคหลังโควิด
และสามารถเชื่อมโยงให้เกิดกระบวนทัศน์ใหม่ในหลายเรื่องโดยเฉพาะสิ่งแวดล้อมในภูมิภาค
สร้างความสมดุลทางธรรมชาติ และคาดว่าจะเป็นหัวใจสำคัญในการประชุมเอเปก
ที่ถ่ายจะเป็นเจ้าภาพในปี 2565 ด้วย และเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ
สำหรับการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ในรูปแบบ Balance of power ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยานั้น
ถือเป็น DNA ของคนไทย
ในการดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ที่ในภาพปกติ เราเป็นมิตรกับคนทั้งโลกได้
อย่างไม่มีข้อกังขา
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ไทยได้รับผลกระทบจากฝ่ายใดเราก็จะยังมีมิตรอีกกลุ่มหนึ่งที่จะช่วยดูแล
ซึ่งเป็นเช่นนี้มาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน ในทางกลับกันไทยยังมีบทบาท
ในการเข้าไปสมานความขัดแย้งที่เกิดขึ้นของฝ่ายอื่นๆด้วย
ให้ความขัดแย้งเหล่านั้นลดน้อยลง เพื่อให้เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย
โดยเฉพาะโลกหลังโควิดทุกประเทศต้องฟื้นฟูบ้านเมืองเพราะเสียหายกันมาเยอะ
แต่หากหลังโควิดแล้วยังคิดจะต่อสู้กัน มันก็เท่ากับว่าซ้ำเติมตัวเองด้วยซ้ำไป
ดังนั้นแต่ละประเทศควรใช้เวลาไปฟื้นฟูประเทศตัวเองแทนที่จะมาขัดแย้งกัน
ธีรวัฒน์ ซ้วนตั้น
ทีมข่าวการเมือง รายงาน
ชมผ่านยูทูบที่ :
แท็กที่เกี่ยวข้อง อยุธยา ,ข่าวการเมือง ,ดอน ปรมัตถ์วินัย ,การทูต