สาวดาวติ๊กต็อก ยันด่าคนอีสานในคลับเฮาส์ไม่ใช่ตัวเอง แค่ชื่อคล้าย แม่ร่ำไห้ขอโทษแทนลูกสาว

แม่ของ 1 ในวัยรุ่นออกมาร่ำไห้ไหว้ขอโทษแทนลูกสาววัย 17 เผยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ด้านเจ้าตัวเปิดใจไม่ใช่ตัวเองที่ด่าเหยียดคนอีสาน

จากกรณีดราม่าเดือด กลุ่มวัยรุ่นตั้งห้องในคลับเฮ้าส์ แล้วด่าเหยียดคนอีสาน พร้อมติดแฮชแท็ก #คลับเฮาส์toxic ทำให้คนอีสานแสดงความไม่พอใจที่โดนดูถูก เป็นการบูลลี่ โดยหนึ่งในกลุ่มมีหญิงสาววัย 17 ปี ดาวติ๊กต็อก ซึ่งเป็นคนอุดรธานีรวมอยู่ด้วย

ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งใน อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี พบกับครอบครัวของวัยรุ่นหญิงรายนี้ ซึ่งที่บ้านมีตา ยาย แม่ น้า และพี่ชายของเด็กสาว ส่วนเจ้าตัวไปใช้ชีวิตอยู่ที่พัทยา จ.ชลบุรี

โดยแม่ของวัยุร่นหญิง กล่าวว่า รู้ข่าวว่าลูกไปด่าคนอีสานช่วงทุ่มเมื่อคืนนี้ ตนมีลูก 2 คน ลูกสาวเป็นลูกคนเล็ก เดิมตนทำงานอยู่ที่พัทยา จึงได้พาไปเรียนอยู่พัทยา แต่พอแม่กลับมาที่บ้านเกิดที่อุดรฯ เขาไม่ได้กลับมาด้วย เขาเป็นคนมีความคิดของตัวเอง หลังรู้ข่าวแม่เสียใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน อยากขอโทษสังคมกับสิ่งที่ลูกทำ ไม่รู้จักคิด แม่เสียใจมาก อาจจะเป็นเพราะตนเองลูกมาไม่ดี แต่ไม่เคยสอนให้ลูกแบบนั้น อยากจะวอนสังคมให้อภัย

ด้านผู้เป็นยาย บอกว่า เพิ่งข่าวเมื่อเช้านี้ เสียใจมาก หลานไม่น่าไปด่าคนอีสานเลย ทั้งๆ ที่ตัวเขาและพวกเราก็เป็นคนอีสาน เมื่อเช้าแม่เขาก็ร้องไห้เสียใจหนักและแม่เขาก็เพิ่งผ่าตัดสมอง กลัวเขาไปผูกคอตายคิดสั้น ยายก็ขอโทษแทนหลานด้วยเขาอาจจะทำไปโดยรู้เท่าไม่การณ์

ส่วนพี่ชาย เล่าว่า พอรู้ข่าวตนเองได้คุยกับน้องแล้ว เบื้องตนน้องบอกจะออกมาขอโทษแต่ตอนนี้ตกใจอยู่ ส่วนสาเหตุที่น้องด่าคนอีสานในคลับเฮ้าส์ น้องบอกว่า มีคนมาด่าก่อนแต่น้องผิดที่ไปด่าเหมารวมคนอีสาน

และล่าสุดน้องแพน ดาวติ๊กต๊อกวัย 17 ได้เปิดใจกับผู้สื่อข่าว ยืนยันว่าตนเองไม่ได้ด่าคนอีสานแม้แต่คำเดียว แต่คนที่พูดเป็นอีกคนที่ชื่อในคลับเฮ้าส์คล้ายกัน ตนใช้ชื่อว่าแพน ส่วนคนที่ด่าในคลับเฮ้าส์ใช้ชื่อว่า เพนนี่ และอยู่พัทยาเหมือนกันเลยเกิดเป็นความเข้าใจผิด จึงอยากให้สังคมเข้าใจตนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย และขออย่าด่าครอบครัว โดยเฉพาะแม่ เพราะตอนนี้แม่ป่วยอยู่

นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต เรียกร้องให้คนไทยหยุดใช้โซเชียลมีเดีย ในการเหยียดหยามต่อว่าซึ่งกันและกัน เพราะทุกคนก็เป็นคนไทยเหมือนกัน มีความเท่าเทียมกัน หากไม่รู้วัฒนธรรมของคนพื้นที่อื่นก็ควรศึกษา แต่ก็พบว่าบางส่วนเกิดจากความตั้งใจของคนในโซเชียลที่ต้องการสร้างความสนใจ อยากขึ้นมาเป็นผู้มีอิทธิพลในโซเชียล โดยไม่สนว่าจะเป็นผลดีหรือเป็นเสียต่อสังคม