สังคม

เปิดคลิปเสียง 'อาสาชุดแดง' แจงส่งผู้ป่วยผิด รพ. หวิดดับ เพื่อนชี้ฟังไม่ขึ้น เมียลั่นทุกชีวิตมีค่าต่อครอบครัว

โดย passamon_a

4 ม.ค. 2568

1.3K views

ภรรยาคนไข้ ร้อง อาสาสมัครชุดแดง นำผู้ป่วยวัย 56 หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ส่ง รพ.เอกชน ห่างออกไป แถมไม่มีหัตถการด้านหัวใจ ทั้งที่ญาติให้ส่ง รพ.ใกล้ที่สุด สุดท้ายเกินขีดความสามารถ ต้องส่งต่อ ทำเสียโอกาสรักษาไป 2 ชม.


เปิดคลิปเสียงเพื่อนบ้านคนสนิทคุยอาสาฯ หลังพยายามโทรมาแจง บอกรถติด-ถามเมียคนไข้แล้ว ยันไป รพ.ไหนอาสาก็ไม่ได้เงิน เพื่อนบ้านลั่นฟังไม่ขึ้น เชื่อมีค่าเคส ชี้มูลนิธินี้ไม่ได้อยู่ในเขตรับผิดชอบ จี้ตรวจสอบทำไมถึงรู้เหตุแค่ที่เดียว ด้าน สพฉ.สั่งตรวจสอบแล้ว



เมื่อวันที่ 3 ม.ค.68 ผู้ใช้เฟซบุ๊ก หม่อมถนัดด่า หม่อมถนัดด่า โพสต์เรื่องราวอาสาสมัครชุดแดง นำผู้ป่วยหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ส่ง รพ.เอกชน ห่างออกไป ทั้งที่ญาติให้ส่ง รพ.ตามสิทธิที่ใกล้กว่า สุดท้ายเกินขีดความสามารถ เสียเวลาไป 2 ชม. ข้อความระบุว่า


“เวลาประมาณ 14:27 น. ของวันที่ 28 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา มีประชาชนขอความช่วยเหลือ ที่คอนโดแห่งหนึ่ง ย่านถนนพระราม 9 ทางญาติจึงโทร 1669 เรียกรถพยาบาล ทางศูนย์รับแจ้งเหตุได้ซักประวัติสอบถาม ประเมินแล้วเป็นเคสที่จะต้องใช้รถพยาบาลขั้นสูงเข้าไปดูแล


ระหว่างรอรถพยาบาลผ่านไปประมาณ 10 กว่านาที พบว่า มีอาสาสมัครแห่งหนึ่งที่ใส่ชุดสีแดง ได้เข้ามาถึงคอนโด และขึ้นไปยังห้องผู้ป่วย ประเมินอาการเบื้องต้นและได้โทรหารถพยาบาลขั้นสูง ทางญาติจะประสงค์ให้อาสา นำส่งโรงพยาบาลใกล้เคียง ที่ห่างออกไป 1.9 กิโลเมตร ซึ่งญาติผู้ป่วยต้องการใช้สิทธิ์รักษา UCEP 72 ชั่วโมง และย้ำไปยังอาสาสมัครที่มาช่วยเหลือว่า ต้องการไปโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวไปถึง 4 รอบ


แต่สุดท้ายแล้ว เคสนี้อาสาสมัครชุดแดง นำส่งโรงพยาบาลเอกชนแถวทองหล่อ ซึ่งญาติก็ไม่ได้บอกให้ไป และสิทธิ์ผู้ป่วยเองก็อยู่โรงพยาบาลรัฐที่อยู่แถวอนุสาวรีย์ชัย แต่ก็ไม่ทราบว่าทำไมต้องไปส่งโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวที่ห่างออกไปอีก พอไปถึงทางโรงพยาบาล คุณหมอ แจ้งญาติว่า ผู้ป่วยมีอาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน โรงพยาบาลรักษาอาการนี้ไม่ได้ เกินขีดความสามารถ จะต้องนำส่งไปยังโรงพยาบาลที่มีสิทธิ์หรือมีความสามารถที่เพียงพอ


ระหว่างรักษาเบื้องต้น กว่าจะได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลที่มีขีดความสามารถนั้น ใช้เวลา 2 ชั่วโมง พอไปถึงโรงพยาบาลรัฐแถวอนุสาวรีย์ชัย ก็นำตัวเข้าห้องผ่าตัด ซึ่งจากการทำงานของอาสาสมัครเหล่านี้ ทำให้ผู้ป่วยเสียเวลาอันมีค่าไป 2 ชั่วโมง ทางคุณหมอ ได้กำชับมาว่า ให้จัดการอาสาเหล่านี้ด้วย


คอนโดอยู่พระราม 9 ดันมาส่งที่โรงพยาบาลเอกชนแถวทองหล่อ ส่งคนไข้ไกลกว่าจำเป็นและเสียผลประโยชน์ต่อคนไข้ ไม่รอรถพยาบาลขั้นสูง ใช้สิทธิ์อะไรไปเข้าเคส มีหน้าที่อะไรในกรุงเทพ ไม่ทำตามระบบการแพทย์ฉุกเฉินของกรุงเทพมหานคร (อาสาไม่ได้อยู่ในระบบจะทำอะไรก็ได้) # เรื่องนี้สพฉ.ต้องมีการตรวจสอบ พระราม 9 พื้นที่โซน 8 ก็ปล่อยแม่มันนั้นแหละออกตั้งแต่แรก”


โดยเคสนี้มีภาพวงจรปิดนาทีที่อาสาฯชุดแดง เข็นผู้ป่วยลงมาจากคอนโด ก่อนนำขึ้นรถกู้ภัยนำตัวส่งโรงพยาบาลด้วย


คุณแอ๊ด ภรรยาของ นายคณิณพัชญ์ หรือ คุณโก้ อายุ 56 ปี ซึ่งเดิมทีมีโรคประจำตัวคือโรคเบาหวาน โดยคุณแอ๊ด ภรรยาของผู้ป่วย เล่าว่า วันเกิดเหตุช่วงนั้นเวลาประมาณ 13.30 น. กำลังกินข้าวกันอยู่ สักพักสามีมีอาการแน่นหน้าอกมาก แล้วรู้สึกไม่สบายตัว ผ่านไปแป๊บเดียวรู้สึกเหมือนจะเป็นลม เหงื่อท่วมตัว จากนั้นก็หมดสติแบบตาค้างทันที ตนจึงวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากทางนิติฯ และเรียก 1669


จากนั้น 10 นาที รถอาสาฯมูลนิธิชุดแดงเดินทางมาถึง เราก็รีบเรียกอาสาว่ารบกวนเร็วหน่อย เนื่องจากว่าผู้ป่วยมีอาการแย่แล้ว รู้สึกไม่ไหวและหายใจไม่ออกแล้ว ระหว่างนั้นคุณกัสก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยและย้ำกับเราให้บอกกับทางอาสาว่า ให้ส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด คือ โรงพยาบาล พระราม 9 หรือโรงพยาบาลพญาไท จากนั้นอาสาก็ยกตัวสามีลงไปขึ้นรถซึ่งระหว่างที่นำขึ้นรถตัวเริ่มซีดหมดแล้ว จากนั้นอาสาให้ตนไปนั่งด้านหน้าอาสา และออกรถ ซึ่งตนก็ยังไม่ได้พูดอะไร


จากนั้นพอคนขับเลี้ยวเข้าทางถนนเพชรบุรีตนก็มองหน้าแบบงง ๆ และอาสาที่เป็นคนขับบอกว่าไป รพ.คามินเลี่ยน พอไปถึงโรงพยาบาลหมอเรียกเข้าไปคุยบอกว่าหัวใจขาดเลือดเฉียบ ถ้ามาช้ากว่านี้อันตรายมาก จากนั้นหมอก็ถามกลับว่าทำไมถึงมาที่โรงพยาบาลนี้ ทำไมไม่ไปโรงพยาบาลราชวิถี ทำไมถึงมาเสียเวลาที่นี่ เพราะว่าเราไม่ได้ทำหัตถการเกี่ยวกับเรื่องหัวใจและสมอง พอได้ยินคำนี้ก็ช็อคและอึ้งไปเลย


ขณะเดียวกันระหว่างนั้นอาสาเข้ามาประกบและขอชื่อสกุลทั้งตนและสามี ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรต่อ จากนั้นหมอที่ รพ.คามินเลี่ยน ได้ทำเรื่องส่งตัวไปที่ รพ.ราชวิถี พอไปถึง รพ.ราชวิถี พอเข้าห้องฉุกเฉิน หมอก็แจ้งว่าเป็นหัวใจตีบต้องรีบผ่าตัดทำบอลลูนด่วน ซึ่งหมอก็บอกอีกว่าหากมาช้ากว่านี้ไม่รอด ส่วนตัวก็มองว่าเสียโอกาสในการรักษามากเพราะเสียเวลาไป 2 ชม.


คุณแอ็ด กล่าวถึงอาการของสามีว่า สำหรับอาการภายหลังรักษาในช่วงแรกหัวใจเต้นช้า เต้นไม่ปกติไม่ถึง 50 ครั้ง ซึ่งช่วงกลางคืนหัวใจเต้นอ่อนมากอยู่ที่ประมาณ 20 / 30 ครั้งต่อนาที จากนั้นหมอจึงให้กระตุ้นหัวใจ และเพิ่งออกจากห้องผ่าตัดเมื่อวานนี้เอง จากนั้นอาการก็ดีขึ้นและสดชื่นขึ้นเล็กน้อย จนถึงตอนนี้ก็ยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่


คุณแอ๊ด กล่าวว่า ไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับใครก็ตาม เพราะทุกชีวิตมีค่าต่อครอบครัว ยิ่งสามารถช่วยได้ทันท่วงทีก็เป็นโอกาสในการช่วยชีวิตคน


นอกจากนี้ คุณกั๊ก เพื่อนบ้านร่วมคอนโด ที่สนิทสนมกับทั้งคู่ ส่งคลิปเสียงการพูดคุยกับอาสาฯ ที่ปฏิบัติการวันเกิดเหตุซึ่งโทรศัพท์มาชี้แจงกั๊ก ช่วงเช้า วันที่ 3 ม.ค.68 ประมาณว่า รู้สึกงงและอยากอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเริ่มต้นจากไปถึงจุดเกิดเหตุ ปรากฏว่านิติบุคคลกำลังโทรประสานกับโรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งตอนนั้นโรงพยาบาลราชวิถีโทรศัพท์มา ตนได้พูดคุย แล้วถามว่าจะออกมาหรือไม่ หากมาจะรอ แต่ทางโรงพยาบาลบอกว่าให้เราตรวจวัดชีพจรเบื้องต้นก่อน ตนจึงบอกไปว่า เพิ่งถึงเดี๋ยวขอวัดก่อนเพราะคนไข้อยู่ในห้องน้ำ ระหว่างนั้นที่กำลังจะเดินไปวัด ได้มีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาบอกว่า “เอาไปเลย ไม่ต้องรอ” ตนจึงตอบกลับไปว่า โรงพยาบาลราชวิถีกำลังมานะ หากตนเอาไปเดี๋ยวมีปัญหาใครจะรับผิดชอบ และหากไปโรงพยาบาลโรงพยาบาลอื่นต้องมีค่าใช้จ่ายนะเพราะสิทธิ์เขาอยู่โรงพยาบาลราชวิถี


จากนั้นอาสาที่ไปถึงที่เกิดเหตุได้นำตัวคนไข้ลงมาและมีการพูดคุยกันอีกครั้งว่ารอโรงพยาบาลราชวิถีหรือไม่ แต่มีชายคนเดิม บอกอีกว่า ไปเลย ไม่ต้องรอ จากนั้นตนย้อนถามกลับไปว่าหากไปโรงพยาบาลอื่นใช้สิทธิอะไรซึ่งชายคนดังกล่าว ก็ตอบกลับว่า ไม่เป็นไรใช้เงินสดจ่าย จากนั้นอาสาก็ได้คุยกับโรงพยาบาลราชวิถีอีกครั้งว่าจะออกมาหรือไม่เพราะตอนนี้ญาติไม่รอแล้วเนื่องจากรอนาน สุดท้ายมีญาติบอกว่าไม่ต้องรอให้นำส่งโรงพยาบาลได้เลยจึงยืนยันเช่นนี้ไปกับทางโรงพยาบาลราชวิถีซึ่งทางโรงพยาบาลก็รับทราบ


จากนั้นอาสาคนนี้ได้ชี้แจงขั้นตอนการนำส่งว่าตอนแรกจะนำตัวไปส่งที่โรงพยาบาลพญาไท ขณะนั้นกำลังจะยูเทิร์นแต่ปรากฏว่ารถติด จากนั้นจึงได้ถามญาติที่นั่งด้านหน้าว่ามีโรงพยาบาลเพชรเวช กับคามินเลียนนะ สะดวกไปหรือไม่ ซึ่งช่วงนี้คุณกั๊กได้บอกกลับไปว่าเรื่องนี้เราคุยกันตั้งแต่บนห้องแล้วว่าให้ไปโรงพยาบาลพระราม 9 และบอกย้ำไปว่า “มีเงิน” ไปโรงพยาบาลเอกชนได้เลย ซึ่งได้บอกแบบนี้ไปตั้งแต่ต้นแล้วแต่ก็งงเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ไปโรงพยาบาล พระราม 9


จากนั้นอาสาตอบกลับว่าพี่ไม่ได้ขึ้นรถมาด้วยพี่ไม่รู้หรอก ซึ่งเรื่องนี้ผมถามด้วยความบริสุทธ์ใจไม่ว่าไปส่งโรงพยาบาลไหนผมก็ไม่ได้เงินนะ ซึ่งพอขึ้นรถผมได้ถามเมียคนไข้แล้ว ซึ่งตอบกลับว่าไปโรงพยาบาลไหนก็ได้ที่มันใกล้ มันเร็ว และปลอดภัย คุณกั๊กได้บอกกับอาสาไปว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ เมียเขาไม่ได้พูดแบบนี้ ซึ่งอาสาเองก็ย้ำกลับไปว่าได้คุยแบบนี้กับเมียคนไข้บนรถ และขอบอกตรง ๆ เลยว่าไม่เคยไปส่งที่โรงพยาบาล พระราม 9 เช่นกัน


จากนั้นอาสาฯ เราต่อว่าที่ไปส่งโรงพยาบาลผมใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที ซึ่งคุณกั๊กได้บอกไปเช่นกันว่าหากไปโรงพยาบาล พระราม 9 ใช้เวลาเพียง 4-5 นาที ก่อนจะบอกต่อว่าตอนนั้นคนไข้หน้าซีด ตัวซีดทำไมเราถึงดูไม่ออกว่ามันคือหน้าที่ชีวิตของเขา แล้วรู้หรือไม่ว่าหากไปโรงพยาบาลคามิลเลี่ยนไม่สามารถทำหัตถการทางหัวใจได้ ซึ่งวันนั้นพวกพี่ไม่สามารถรอรถแอดวานซ์ได้ก็เพราะว่ารอนาน พวกพี่ไม่มีเวลาแล้ว รู้แค่ว่านาทีชีวิตของคนเรา จึงมองว่าควรไปถึงโรงพยาบาลให้ใกล้ที่สุด เพราะโรงพยาบาลพระราม 9 ห่างเพียง 1.8 กม. แต่น้องกลับมาบอกพี่ว่าไม่เคยไปส่งโรงพยาบาลนี้


ทั้งนี้ สำหรับประเด็นที่เมียคนไข้ พูดว่า ให้นำส่งที่ไหนก็ได้แค่ให้ปลอดภัยนั้น ตอนแรกอาสาคุยกับคุณกั๊กเหมือนบอกว่าพูดคุยกันบนรถ แต่สุดท้ายอาสาบอกว่าคุยกันที่โรงพยาบาล


ช่วงท้ายคลิปเสียง อาสาบอกว่าส่วนตัวไม่อยากให้เรื่องยาว แต่คุณกั๊กกลับตอบว่า ฝั่งพี่ยาวแน่ ก่อนจะร่ายยาวตอบกลับไปว่า “เราทำให้คนไข้หมดสิทธิรักษา ทำให้คนไข้เสียเวลาในการรักษาไปเยอะ ไปเสียเวลาที่โรงพยาบาลคามิลเลี่ยนถึง 2 ชม.” ซึ่งอาสาก็ตอบกลับมาว่าที่ผมไปไม่ถึง 2 ชม. นะ ก่อนที่คุณกั๊กจะอธิบายในมุม 2 ชม. ที่โรงพยาบาลคามิลเลี่ยนไม่สามารถทำหัตถการใดใดได้ แต่หากไปที่โรงพยาบาลพระราม 9 ตามที่พี่บอก คงได้ทำหัตถการไปแล้ว นั่นแหละคือประเด็นของพี่มันคือการเสียโอกาส ซึ่งตอนนี้คนไข้ก็อาการทรง ๆ อยู่ ถ้าเค้าตายถ้าเค้านอนเป็นผักพวกเราก็คงไม่มาสนใจเขาหรอก เพราะได้ทิ้งเขาไปแล้ว ซึ่งฝั่งอาสาเองก็พยายามบอกว่าตัวเองโทรมาด้วยความจริงใจ ยืนยันไม่ใช่ข้อแก้ตัว ซึ่งคุณกั๊กก็ได้ทิ้งท้ายไปว่าสิ่งที่น้องพูดมามันย้อนแย้ง รับรองว่าเรื่องนี้ยาว


ทีมข่าวได้พูดคุยเพิ่มเติมกับคุณกั๊ก เพื่อนบ้านร่วมคอนโด ที่สนิทสนมกับทั้งคู่ กล่าวว่า สิ่งที่ตนและภรรยาคุณโก้ ผู้ป่วย คาใจมากที่สุดตอนนี้คือ ทำไมไม่ส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ เรารีเควชไปแล้ว โดย รพ.ใกล้ที่สุดที่เป็น รพ.เอกชน คือ รพ.พระราม 9 ซึ่งอยู่ห่างจากคอนโดเพียง 1.8-1.9 กม. หรือไม่ก็ รพ.พญาไท ห่าง 4.3 กม. โดยตนย้ำกับอาสา(ชุดแดง) ไปหลายครั้ง ให้ส่ง รพ.ใกล้ที่สุด


ส่วนประเด็นที่ฝั่งอาสาบอกว่าได้มีการสอบถามภรรยาคุณโก้แล้วว่าจะไปที่ รพ. คามิลเลี่ยน แล้วมีการตอบกลับกลับมาว่าไปโรงพยาบาลไหนก็ได้ที่ใกล้ที่สุดและปลอดภัย ขอยืนยันว่าภรรยาคุณโก้ไม่มีการตอบแบบนั้น ทั้งนี้ สำหรับประเด็นที่มีการไปโจมตีอาสาว่ายกคนไข้หนี ยืนยันว่าไม่ใช่แบบนั้น เพราะว่าตนเป็นคนสั่งยกเพราะรอไม่ได้แล้ว


เมื่อถามอีกว่าหลังจากที่ได้พูดคุยกับฝั่งอาสาฯที่โทรศัพท์มาเช้า วันที่ 3 ม.ค.68 รู้สึกอย่างไรบ้าง คุณกั๊ก กล่าวว่า มันฟังไม่ขึ้น มองว่ามันคือข้อแก้ตัว ถ้าเข้าพยายามขอโทษแล้วบอกว่ามันคือแบบนี้ ๆ นะน่าจะโอเคขึ้น เพราะตนเองก็ย้ำไปตลอดว่าให้ไปโรงพยาบาลพระราม 9


ทั้งนี้ ตนตั้งข้อสังเกตว่าตั้งแต่อาสาดังกล่าวขึ้นมาบนห้องผู้ป่วยพูดถึงแต่ 2 รพ. ตนจึงขอให้ส่ง รพ.ใกล้ที่สุด และสงสัยว่าหลังแจ้งเหตุทางเบอร์ฉุกเฉิน กลับมีอาสาของมูลนิธินี้เพียงมูลนิธิเดียวที่รับแจ้ง มาถึงเร็วและรู้ก่อน โดยจากการสอบถามเพื่อนอาสาอีกมูลนิธิที่เข้าเวรประจำวัน กลับบอกว่าไม่ได้รับแจ้งเหตุแต่อย่างใด จึงอยากถามว่าเรื่องข้อมูลเจ็บป่วยเคสนี้หลุดไปที่มูลนิธินี้ได้อย่างไร ประกอบกับมีข้อมูลว่ามูลนิธิอาสาชุดแดงนี้ยังไม่ได้อยู่ในระบบไม่สามารถรับเคสได้ จึงอยากฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยตรวจสอบ


ส่วนกรณีเมื่อถามว่ามีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ คุณกั๊ก กล่าวว่า เชื่อว่ามีเรื่องผลประโยชน์ เมื่อ 2 ปีก่อน มี รพ.แห่งหนึ่ง มีหลักฐานว่าจ่ายค่าเคสให้อาสา ตนเคยบอกกับทาง รพ.ว่าต้องเลิกให้ค่าเคสส่งผู้ป่วยจะได้ไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นด้วย และขอฝากว่าทางรพ.คามิลเลียน ไม่สามารถรักษาโรคสมองและหัวใจได้


ขณะเดียวกันทีมข่าวติดต่อไปยัง ประธานมูลนิธิเพชรเกษม บอกว่า ขณะนี้ตัวเองอยู่ต่างจังหวัดกำลังเดินทางกลับมา กทม. เบื้องต้นได้ทราบแล้วว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าว และขออนุญาตตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนก่อนที่จะมีการชี้แจงกับสื่อมวลชน


ขณะที่ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) โพสต์ชี้แจงว่า ทาง สพฉ. ได้รับการร้องเรียนจากญาติผู้ป่วยฉุกเฉินรายหนึ่งว่า  เมื่อวันที่ 28  ธันวาคม 2567 โทรแจ้งเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉินผ่าน 1669 ซึ่งมีการประเมินอาการ ว่าเป็นเคสที่ต้องใช้รถพยาบาลขั้นสูงเข้าไปดูแล แต่กลับมีอาสาสมัครแห่งหนึ่ง ใส่ชุดสีแดง เข้าไปประเมินอาการ และเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปส่งโรงพยาบาล ในขณะที่ญาติแจ้งว่าผู้ป่วยมีสิทธิการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลย่านอนุเสารีย์ชัยฯ โดยได้แจ้งความประสงค์ขอให้ส่งตัวไปรักษาโรงพยาบาลใกล้เคียง เพื่อใช้สิทธิรักษาตามโครงการ UCEP ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ มีสิทธิทุกที่ แต่อาสาสมัครดังกล่าวกลับนำตัวผู้ป่วยไปส่งโรงพยาบาลย่านทองหล่อ ก่อนที่โรงพยาบาลย่านทองหล่อจะแจ้งว่าผู้ป่วยมีอาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน  เกินขีดความสามารถในการรักษา จึงต้องส่งตัวมาที่โรงพยาบาลตามสิทธิ และเข้ารับการผ่าตัดทันที


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใช้เวลาในการส่งตัวผู้ป่วยประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้ป่วยสูญเสียโอกาสในการรักษาโรคหัวใจอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะกรณีของโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ที่ต้องการรักษาโดยเร็วที่สุด


เรืออากาศเอก นายแพทย์อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) จึงสั่งให้มีการตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งกลุ่มบุคคลที่เข้าไปเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉิน และขั้นตอนการนำส่งตัวผู้ป่วยฉุกเฉิน เนื่องจาก สพฉ. ไม่สามารถปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ และเน้นย้ำการปฏิบัติงานชัดเจนว่า ไม่อนุญาตให้บุคคลซึ่งไม่ใช่ผู้ปฏิบัติการและไม่ได้รับการสั่งการจากหน่วยปฏิบัติการอำนวยการ เข้าช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน เพื่อป้องกันพฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดอันตรายและความปลอดภัยของทั้งผู้ปฏิบัติการและผู้ป่วยฉุกเฉินในระบบการแพทย์ฉุกเฉินทั่วประเทศ


รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/fzAdAMVGML8

คุณอาจสนใจ

Related News