สังคม

'ทนายสายหยุด' เผยแนวทาง 'ทนายตั้ม' สู้คดีฉ้อโกงเจ๊อ้อย 'ทนายเดชา' เชื่อมีหมัดเด็ดสู้

โดย passamon_a

10 พ.ย. 2567

64 views

เมื่อวันที่ 9 พ.ย.67 นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของทนายตั้ม และภรรยา ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางการต่อสู้คดี ว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ย.67 ที่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว เพราะกลัวไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน ซึ่งมองว่าไม่ได้เพลี้ยงพล้ำ หรือเสียหน้า เพราะยังไงก็รู้ว่า ถ้ายื่นประกันตัวทนายตั้มคงไม่ได้อยู่แล้วจึงไม่ยื่น ส่วนภรรยามองว่าแค่รับโอนบ้านมา แต่มูลค่าความเสียหายค่อนข้างสูง ศาลท่านเห็นว่ายังไม่สมควรปล่อยชั่วคราว จึงต้องรับไปตามนั้น


ทนายสายหยุด ยังบอกถึงแนวทางการต่อสู้คดีด้วยว่า จะแบ่งเนื้อหาเป็น 3 เรื่อง แต่จะขออธิบาย 2 เรื่องก่อนคือ เพราะคดีนี้คือคดีเดียว แต่ความผิด 3 กรรม


เริ่มจากเรื่องส่วนต่างรถเบนซ์ 1.5 ล้านบาท ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ผู้เสียหายคือ เจ๊อ้อย ประสงค์อยากได้รถเบนซ์ รุ่น จี 400 กำหนดรุ่นมาเลยว่าอยากได้รุ่นนี้ ทนายตั้มก็โทรหาพวกนำเข้ารถ ที่เรียกกันว่า เกรย์มาเก็ต ว่าที่ไหนมีบ้าง ปรากฏว่าหาไม่ได้ แล้วเขาก็ติดต่อไปยังเจ้าที่เกิดปัญหา เพราะรู้จักกัน เคยซื้อรถอัลพาร์ดกัน ซึ่งเจ้านี้บอกว่า ถ้ามัดจำ เขาหารถได้ภายใน 7 วันไม่เกิน 15 วัน ทนายตั้มเลยให้ส่งรูปใบเสนอราคา และส่งโบว์ชัวร์มา พอส่งมาแล้วทนายตั้มก็แชร์ต่อไปให้เจ๊อ้อย แล้วเจ๊อ้อยบอกใช่รุ่นนี้  


ทนายตั้มเลยถามต่อว่า เอาเลยหรือไม่ ถ้าเอาต้องมัดจำก่อน 500,000 บาท เจ๊อ้อยก็ถามกลับมาว่าได้รถชัวร์หรือไม่ เพราะรถขาดตลาด ทนายตั้มเลยบอกว่าชัวร์ จากนั้นก็โอนเงินมัดจำมา 500,000 บาท แล้วก็ได้รถมา ซึ่งทนายตั้มก็ย้อนกลับไปถามโชว์รูมว่า มีคอมมิชชั่นให้เท่าไร โชว์รูมบอกให้ได้ 8 แสน ทนายตั้มเลยพูดกับโชว์รูม แบบหยอกกันไปด้วยความสนิทสนมว่า “ได้ข่าวว่ารถราคาสิบล้านได้เป็นล้านไม่ใช่เหรอ” ทางโน้นก็เลยบอกว่างั้นให้ทนาย 1.5 ล้าน ข้อเท็จจริงเป็นแบบนี้  


แล้วทางเจ๊อ้อยก็โอนเงินก้อนมา ซึ่งวันที่โอนค่ารถมา 13 ล้านกว่า ๆ มีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ด้วย แต่ตนเองยังไม่ได้ดูรายละเอียด พอโอนเงินมา ทนายตั้มก็จ่ายค่ารถไปแล้ว เหลือส่วนต่างอยู่ 1.5 ล้าน จึงขอถามว่า ถ้าแบบนี้ เต็นท์รถมือสอง นายหน้าค้าบ้านจะต้องติดคุกกันอีกเยอะ ถ้าทำแบบนี้แล้วผิด


ทั้งนี้ มองว่าทนายตั้มไม่จำเป็นต้องบอกว่าได้ค่าส่วนต่าง เพราะโชว์รูมให้เงินผู้ที่ติดต่อแนะนำ เป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่แล้ว แต่การได้เยอะได้น้อย ตนเองไม่ขอวิจารณ์ ซึ่งตามปกติ ถ้าผู้ซื้อต้องการอยากได้รถขาดตลาด ถ้าหาได้ บางทีแพงกว่าราคาจอง เขาก็ยังซื้อกัน ซึ่งราคาตกลงในใบเสนอราคาแล้ว จึงมองว่าเป็นเรื่องทางแพ่ง ถ้าแบบนี้ติดคุกกันหมด เแล้วนายหน้าจะอยู่ยังไง ใครจะกล้าแนะนำคนไปซื้อรถ


ส่วนประเด็นเรื่องเงิน 9 ล้าน ที่ตนเองได้พูดคุยรายละเอียดกับทนายตั้ม ข้อเท็จจริงคือ เจ๊อ้อยมีที่อยู่ 7 ไร่ ต้องการทำโรงแรมและวาดเแบบคร่าว ๆ กัน แต่สามีเป็นชาวต่างชาติ จะทำอะไรต้องชัดเจน และมีงบ 160 ล้านในโครงการนี้ เลยให้ทนายตั้มมาดูแล ตั้งแต่วาดแบบ ทำสัญญาปลูกสร้าง คุมช่างก่อสร้าง ขอใบอนุญาตปลูกสร้าง จนไปขอใบอนุญาตเปิดโรงแรม ดูเรื่องความปลอดภัย ดูพื้นที่สีเขียว ซึ่งทนายตั้มดูแลทั้งหมด ระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี  


ซึ่งในช่วงนั้นเจ๊อ้อยไม่ได้จ่ายค่าที่ปรึกษาเดือนละ 300,000 บาท ให้ทนายตั้มแล้ว ถ้าเจ๊อ้อยอยู่ฝรั่งเศส ทนายตั้มต้องเดินทางเอง หาที่พักเอง แต่ถ้าเจ๊อ้อยอยู่ ก็ดูแลที่กินที่พักให้ ซึ่งทนายตั้มบอกว่า 2 ปี คงไปเดือนละครึ่ง น่าจะเหลือค่าแบบ 2 ล้านกว่าบาท แต่ด้วยความที่สามีเป็นชาวต่างชาติ ก็ต้องทำบิลเสนอเข้าไปว่าการดูแลค่าแบบ 9 ล้าน แต่ 3.5 ล้านแค่แบบตัวโรงแรม ส่วนพื้นที่สีเขียวภายนอกยังไม่ได้ออกแบบ แล้วโรงแรมมีหลายห้อง เตียงเดี่ยวเตียงคู่ ห้องสูท ห้องพักส่วนตัว แบบบิ้วอิน ก็ยังไม่ได้เขียนแบบเลย ทำไปแค่แบบเดียว และไม่ใช่แบบเดียวแล้วจบ ทนายตั้มต้องดูจนงานเสร็จ


วันที่เกิดปัญหา คือ วันนั้นทนายตั้มติดต่อวิศวะโยธาเพื่อเข้าไปเจาะดิน แต่ทางโน้นโทรมาว่า ไม่ต้องไปทำแล้ว ไม่ประสงค์ให้ทนายตั้มทำ แล้วก็หยุดกันไป จากนั้นทนายตั้มก็ไม่ได้ชี้แจงว่า 9 ล้านบาท เอามาทำอะไรบ้าง เหลือต้องคืนหรือไม่ จ่ายไป 3.5 ล้านแล้ว ไปทำกี่ครั้งจะเอากี่บาท ไม่ได้มีการบอก และเจ๊อ้อยก็ไม่ได้บอกว่า เอาไป 9 ล้านเหลือเท่าไร แล้วไม่จ้างต่อต้องคืนหรือไม่ ก็ไม่ได้ถาม “แล้ววันที่พี่อ้อยไม่ทำต่อ ได้ทวงถามเงิน 9 ล้านหรือไม่ พอไม่ทวงปัญหาก็เลยเกิด”


เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า คดีนี้ต้องคืนเงินหรือไม่ ทนายสายหยุดบอกว่า มันคนละเรื่องกัน ส่วนทนายตั้มจะถามไปทางเจ๊อ้อยหรือไม่ว่าต้องการเงินคืนหรือเปล่า ทนายสายหยุดมองว่า “ธรรมชาติคงไม่มีใครถาม มีแต่คนเสียหายต้องทวง และมองว่า พี่อ้อยเสียหายเรื่องเงินชัดเจน แต่จะผิดอาญาหรือไม่ผิดอาญา ก็ต้องวิเคราะห์เอา”


ส่วนประเด็นเรื่อง หลักฐานไม่ได้รับโดยเสน่หา แต่เป็นการลงทุนคนเดียวนั้น ทนายสายหยุด อธิบายว่า ทนายตั้มเป็นนักกฎหมาย ก็พูดโดยประมวลกฎหมายแพ่งให้ฟังว่า ให้โดยเสน่หาคืออะไร คือการให้โดยไม่เอาคืน และยอมรับว่า “ทนายตั้มเอาเงินมาจากเจ๊อ้อยจริง แต่ไม่ได้มีการบอกว่าจะต้องคืนเมื่อไหร่ คืนวันไหน แบ่งกำไรให้กันหรือไม่ ทนายตั้มจึงบอกว่า เป็นการให้โดยเสน่หา คือให้มาเลย แต่เหตุผลการขอเงิน คือ การเอามาลงทุนทำแพลตฟอร์ม ทำธุรกิจเลี้ยงลูกเลี้ยงครอบครัว แล้วพี่อ้อยเขาเอ็นดู เขาช่วยเหลือ แต่สุดท้ายต้องคืนหรือไม่ ผมไม่รู้ เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์”


ทนายสายหยุด ยังบอกต่ออีกว่า ตนเองเห็นหลักฐานแล้วที่คุยกันเดือน ม.ค.ที่ฝรั่งเศส ว่าจะลงทุน ตอนนั้นเจ๊อ้อยถามว่า “จะใช้เงินเยอะไหม” ทนายตั้มตอบว่า “2 ล้านยูโร” พี่อ้อยบอกว่า “ก็ไม่เยอะนี่ เดี๋ยวพี่ช่วย เดี๋ยวพี่ให้” ทำให้ทนายตั้มกับภรรยาไปกราบขอบคุณ แล้วเจ๊อ้อยก็โทรกลับมาหาพี่น้อย ที่ประเทศไทย ว่าให้ดำเนินการเรื่องนี้ให้ด้วย และสั่งพี่น้อยให้จัดทำเอกสาร เพื่อให้เงินทนายตั้ม 2 ล้านยูโร เพราะตอนที่พูดคุยกัน คุยที่ประเทศฝรั่งเศส พี่น้อยไม่ได้อยู่ด้วย


พี่น้อยเลยแชทมาถามว่า “พี่อ้อยมีกี่หุ้น พี่อ้อยจะได้อะไรบ้างจากการลงทุนครั้งนี้” ซึ่งเป็นการถามในฐานะเลขา ซึ่งทนายตั้ม ตอบกลับไปว่า “ไม่ครับ ผมลงทุนคนเดียว อันนี้โครงการเล็ก ๆ ผมทำดูก่อน เดี๋ยวพี่อ้อยทำโครงการใหญ่ ๆ ดีกว่า จะได้สมฐานะพี่อ้อย”


วันที่พูดคุย คือวันที่ 29 ม.ค. ยืนยันได้ว่ามีหลักฐานการพูดคุยชิ้นนี้ แต่จะนำไปแสดงต่อศาล เพราะสื่อมวลชนไม่ได้ตัดสินว่าใครถูกหรือผิด ดังนั้นจะต้องว่าไปด้วยพยานหลักฐาน ยืนยันว่าทนายตั้มขอเงินมา ส่วนจะยืมหรือจะให้มา ตนเองไม่ทราบ แต่ทนายตั้มขอมา และยอมรับว่าไม่มีหลักฐานในการขอเงินที่ฝรั่งเศส ว่าเป็นการให้ เป็นการยืม หรือชักชวนร่วมลงทุน หรือหลอกลงทุน หรือให้เลย จึงยังถกเถียงและทะเลาะกันอยู่ในปัจจุบัน


ทั้งนี้ หากมองในมุมตนเอง ถ้าเจ๊อ้อยจะลงทุนด้วยแล้วให้เงินมา ผ่านไป 1 เดือนควรจะต้องถามแล้วว่า เขียนโปรแกรมไปถึงไหนแล้ว  แล้วจะเอาโควต้าสลากจากไหน แผนการตลาดเป็นยังไง แต่ผ่านมา 1 ปี ก็ไม่มีใครถามอะไรกัน ดังนั้นสิทธิขาดอยู่ที่ทนายตั้มว่าจะทำได้หรือไม่ได้


ซึ่งเมื่อพยานหลักฐานประกอบว่า ทนายตั้มทำคนเดียว แล้วจะเป็นการฉ้อโกงได้อย่างไร แต่จะเป็นการขอยืมแล้วต้องคืนหรือไม่ ไม่มีผลตอบแทนหรือให้ขาด 100% ต้องวิเคราะห์กัน ดังนั้นจึงจะต่อสู้คดี ว่า ไม่ได้ฉ้อโกงตามข้อเท็จจริงอย่างแน่นอน เพราะแนวทางพยานหลักฐานมาในแนวทางที่กล่าวไว้


ส่วนหลักฐานที่สงสัยกันว่าทำไมต้องมีนิติกรรมสัญญานั้น คงต้องให้พนักงานสอบสวนเรียกผู้เชี่ยวชาญในการโอนเงินระหว่างประเทศ มาให้รายละเอียดข้อเท็จจริง ว่าการโอนเงินจากฝรั่งเศสมาประเทศไทยมีขั้นตอนอย่างไร และการเอาเงินออกจากฝรั่งเศส ทำได้อย่างไร มีค่าธรรมเนียมอย่างไร เพราะเงินได้มาจากการถูกล็อตโต้ของฝรั่งเศส ดังนั้นตนเองจึงต้องเอาผู้มีความรู้ในเรื่องนี้ไปให้การตามข้อเท็จจริง ส่วนในเรื่องของการทำแพลตฟอร์มออนไลน์ ก็คงต้องดูที่เจตนาด้วย


“หลักฐานยืนยันชัดเจนว่า ทนายตั้มรับเงินมาจากเจ๊อ้อย แต่ถ้าหากจะเป็นการหลอกลงทุนควรจะต้องมีรายละเอียดมากกว่านี้”


ทนายสายหยุด ยังตอบคำถามเกี่ยวกับวันที่ทนายตั้มถูกจับกุมด้วยว่า วันที่ทนายตั้มไปทำบุญ แจ้งว่าจะไปวัดหนองรี อ.พนมสารคาม ย้ำว่าไม่ได้ไปชายแดน และตอนที่ถูกจับ อีก 5 นาที จะถึงวัดแล้ว และทนายตั้มได้โทรศัพท์พูดคุยกับตนเองตั้งแต่ก่อนออกจากบ้าน ว่าจะไปทำบุญ ก่อนหน้านั้นก็คุยกันทุกคืน โดยทนายตั้มบอกว่า ให้ตนเองไปอยู่เป็นเพื่อน “พี่มาอยู่เป็นเพื่อนผมหน่อย ผมน่าจะโดนจับเร็วๆ นี้ มีตำรวจมาเฝ้าผม ผมไปถ่มเขา เขาก็ไม่รับว่าเป็นตำรวจ แต่หัวเกรียนหมดเลยพี่ ผมไปเซเว่นก็ขับรถตามผม”


ส่วนเหตุผลที่ตนเองมาเป็นทนายความให้กับทนายตั้มนั้น เพราะรู้จักกันมานานแล้ว เคยทำคดีร่วมกันในพื้นที่จังหวัดราชบุรี ซึ่งทนายตั้มเป็นทนายฝ่ายผู้เสียหาย ตนเองเป็นทนายฝ่ายจำเลย เลยทำให้รู้จักกันตั้งแต่ปี 62 หลังจากนั้นทนายตั้มจะเปิดสำนักงาน ทนายตั้มก็เชิญชวนให้ตัวเองมาเป็นซีเนียร์ คอยช่วยดูเด็ก ๆ แต่ตนเองไม่ชินชีวิตในกรุงเทพฯ ทนายตั้มเลยให้มาสัปดาห์ละกี่วันก็ได้ แล้วให้เงินเดือน ตนเองเลยมาช่วยงานมาเป็นปี  


ทั้งนี้ มองว่า ทนายความใช้กฎหมายฉบับเดียวกันทั่วประเทศ จะเมืองหลวงหรือภูธรก็เหมือนกันหมด และทนายตั้มก็ติดต่อตนเองตั้งแต่แรกที่รู้ว่าจะโดนคดี และเคยทำงานกับทนายตั้มมา 2-3 ปีก่อนแล้ว ยืนยันว่าไม่กลัวทัวร์ลง เพราะทัวร์ก็จะต้องเข้าใจว่าทุกคนที่มีคดี ต้องมีทนายความ ผู้ต้องหามีสิทธิ์มีทนายความเพราะมีโทษจำคุก อารมณ์คนก็เรื่องของเขา ตนเองไม่ได้สนใจ เพราะตนเองทำตามหน้าที่ จะถูกจะผิดก็เป็นอีกเรื่อง


ส่วนวันที่ทนายตั้มถูกจับ มีการติดต่อนายตำรวจหรือใครให้ช่วยเหลือหรือไม่นั้น ตนเองไม่ทราบในเรื่องส่วนตัว เพราะวันที่ถูกจับ ทนายตั้มบอกว่า “พี่ผมถูกจับแล้วครับ พี่มารอผมที่กองปราบนะ พี่มาเลยนะ คำให้การทำไว้หรือยัง” แล้วตนเองก็ทำคำให้การของเรื่อง 71 ล้านไว้แล้ว


ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่ได้เตี๊ยมคำให้การ เตี๊ยมคือการซักซ้อมให้คนโกหก ส่วนของตนเองเป็นการเตรียมคำให้การ ไบ่เรียงไทม์ไลน์ไว้ 7 หน้ากระดาษ เพื่อให้พนักงานสอบสวนถาม ถ้าคำถามที่ถามแต่ละเรื่องตอบไว้แล้ว ก็มีพิมพ์ตอบเป็นเวิร์ดให้ เป็นการเตรียม ไม่ได้เตี๊ยม ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า คำให้การทนายกับของทนายตั้มไม่เหมือนกัน ขอชี้แจงว่า ตนเองเป็นทนานยความ ไม่ต้องให้การ เรื่องให้การเป็นของทนายตั้มที่ให้การต่อตำรวจ


ส่วนที่มีข้อมูลว่า พยานบางคนให้การว่า ทำสคริปต์ให้พูดเพื่อปิดบังข้อเท็จจริงนั้น ยืนยันได้ว่า ไม่มีการเขียนสคริปต์ให้กับพยานแน่นอน ข้อเท็จจริงมันปิดบังกันไม่ได้ ส่วนการซักซ้อมพยาน คงมีการซักถามกันก่อนขึ้นศาลแน่นอน เพราะจะถามวัวตอบควายไม่ได้ ไม่ใช่ให้พยานพูดไปเรื่อยไป ทนายจะโดนด่าได้ “ซักซ้อม ตระเตรียม เตี๊ยม มันไม่เหมือนกัน ตามหลักการเป็นแบบนี้”


ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า ทนายตั้มขัดขืนไม่ยินยอมให้ยึดโทรศัพท์นั้น ทนายสายหยุด ชี้แจงว่า ในวันที่สอบปากคำ หลังชุดสืบสวนยึดโทรศัพท์ไป ระหว่างสอบปากคำ ชุดสืบสวนเอาหนังสือยินยอมให้เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลทางโทรศัพท์มาให้เซ็น  แต่ตนเองไม่ให้ เพราะยืนยันแล้วว่า ให้ยึดไปตามกฎหมาย แล้วทำไมต้องให้ยินยอม เพราะถ้าให้ยินยอมแสดงว่าไม่มีอำนาจ ประกอบกับในโทรศัพท์มีข้อมูลอื่น ๆ มากกว่าในเรื่องคดี และถ้าดูดข้อมูลไปแล้วหลุด ใครจะรับผิดชอบ แต่เชื่อว่าเขาคงดูดข้อมูลไปแล้ว แต่คงไม่สามารถที่จะนำเสนอต่อศาลได้ เนื่องจากเป็นข้อมูลที่ได้มาโดยมิชอบ เป็นข้อมูลโดยละเมิด และโทรศัพท์ไม่ได้มีไว้แล้วเป็นความผิดไม่ได้ได้มาจากการกระทำความผิด หรือเอาไปใช้เพื่อกระทำความผิด ก็ยึดไม่ได้


ส่วนเรื่องเงิน 39 ล้านบาทนั้น ถ้ายังไม่เป็นคดีความ ตนเองยังไม่ขอพูด และนายนุก็ยังไม่ได้มาให้การ ทั้งนี้ ถ้ายังไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหา ตนเองก็ยังไม่ได้ดูในรายละเอียดเช่นกัน ยืนยันว่า ทนายตั้มแค่แนะนำให้รู้จักกับนายนุ ตนเองไม่ได้รู้ในรายละเอียด


ทนายสายหยุด ยังชี้แจงด้วยว่า ประเด็นที่ทนายตั้มโอนบ้านและรถเป็นของภรรยานั้น ไม่ได้เป็นการฟอกเงิน แต่เนื่องจากว่ามีการตกลงกันมาตั้งแต่แต่งงานแล้ว เพราะว่าทนายตั้มเจ้าชู้ ก็กลัวว่าจะโอนไปให้หญิงอื่น


ขณะที่ ที่สำนักงานทนายคลายทุกข์ นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายเดชา ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ ให้สัมภาษณ์ว่า เช้าวันที่ 9 พ.ย.67 ตนมีโอกาสได้คุยกับ นายสายหยุด เพ็งบุญชู ที่เป็นทนายความของทนายตั้มและภรรยา โดยทนายสายหยุดยืนยันว่า ทนายตั้มไม่ได้ให้การกับตำรวจเหมือนกับที่พูดในรายการหรือตามที่ออกสื่อไปก่อนหน้านี้ ที่เคยกล่าวว่าได้เงินมาด้วยความเสน่หา


โดยทนายตั้มให้การกับตำรวจในลักษณะว่า ได้รับเงินมาจากผู้เสียหายเพื่อไปลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจหวยออนไลน์ และมาทำเพียงคนเดียว ไม่ได้ร่วมลงทุนกับผู้เสียหาย ซึ่งทางทนายตั้มวางแผนมาไว้นานแล้ว โดยขณะที่ทางทนายตั้มถูกจับกุม ตัวทนายสายหยุดเองก็เตรียมคำให้การทนายตั้มที่อยู่ในแฟลชไดรฟ์ส่งให้พนักงานสอบสวน หลังจากพนักงานสอบสวนฟังคำให้การเสร็จ ตัวทนายตั้มเองเพียงเซ็นชื่อเท่านั้น


ซึ่งทางทนายตั้มและทนายสายหยุดเองก็มั่นใจว่าจะหลุดคดีนี้ ส่วนที่ไปออกสื่อหรือรายการต่างๆ จะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์หรือไม่ ก็ต้องมาดูว่าผู้ใดเป็นผู้เผยแพร่ และขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวน เพราะศาลจะใช้ข้อมูลสำนวนจากตำรวจเท่านั้น และใช้คำให้การในชั้นศาลเพียงเท่านั้น


ส่วนที่มองว่าคำพูดของทนายตั้มกลับไปกลับมาไม่อยู่กับร่องกับรอยนั้น ก็ถือเป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหา ที่จะให้การอย่างไรก็ได้ ซึ่งศาลจะเอาคำให้การในสำนวนไปชั่งน้ำหนัก ว่าคำให้การของพยานหรือฝ่ายโจทก์ผู้ใดมีความน่าเชื่อถือมากกว่ากัน


เมื่อถามว่า สิ่งที่ทนายตั้มให้การกับตำรวจขัดแย้งกับที่พูดในรายการ จะทำให้กระทบต่อภาพลักษณ์ตัวเองหรือไม่ ทนายเดชา กล่าวว่า ตัวทนายตั้มไม่ได้คำนึงถึงอะไร คำนึงเพียงแค่ผลของคดีเท่านั้นว่าจะรอดหรือไม่ และส่วนที่จะถูกมองว่าเป็นการเพลี่ยงพล้ำในการต่อสู้คดีหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องที่อีกฝ่ายจะคิดได้ แต่ตัวทนายตั้มวางแผนไว้แล้ว เพราะทนายตั้มไม่ใช่คนที่จะพูดอะไรก็พูด แต่ต้องเตรียมก่อนจะพูดไว้แล้ว


ส่วนกลุ่มไลน์ของทีมทนายความอเวนเจอร์แสดงความเป็นห่วงทนายตั้ม หลังจากมีกระแสข่าว 71 ล้าน ออกไปหรือไม่ ทนายเดชา กล่าวว่า ทุกคนแสดงความเป็นห่วง แต่ทนายตั้มพิมพ์เข้ามาในกลุ่มว่า “ไม่ต้องห่วงผมรอดแน่ คดีใหญ่กว่านี้ผมก็ผ่านมาแล้ว แล้วจะผ่านไปได้เหมือนทุกคดีที่ผ่านมา”


เพราะในเรื่องข้อกฎหมายทนายตั้มเป็นคนที่พริ้วและรู้ข้อกฎหมายอย่างดี และหากไปดูในประวัติของทนายตั้มก็รอดมาแล้วหลายคดี และคดีไม่เคยขึ้นสู่ชั้นศาล ได้รับการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนทุกครั้ง ตนยืนยันว่าความสัมพันธ์ในกลุ่มทนายอเวนเจอร์ยังรักกันเหมือนเดิม แต่แค่ไม่มีใครออกมาแสดงความคิดเห็น เนื่องจากกลัวทัวร์ลง


ส่วนที่มีกระแสข่าวมองว่าเป็นแผนการฟอกขาวของทนายตั้มนั้น ไม่ยืนยันว่าเป็นการฟอกขาวหรือไม่ แต่รู้มาว่า ทนายตั้มรู้ตัวว่าจะถูกออกหมายจับมาก่อนเป็นเดือนแล้ว รู้กระทั่งจะโอนสำนวนไป บก.ป.วันไหน จึงเตรียมการทุกอย่างไว้ และเชื่อว่าคดีนี้ทนายตั้มมีหมัดเด็ดในการสู้คดี


เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมภรรยาถึงไม่ได้รับการประกันตัว ทนายเดชา ระบุว่า หลังจากที่ตนอ่านคำสั่งศาลที่เขียนไว้ชัดเจนว่า การสอบสวนยังไม่เสร็จ หากปล่อยตัวออกไปก็จะไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน แล้วก็อาจหลบหนี และเกรงว่าจะทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับการชดใช้ค่าเสียหาย ดังนั้นถ้าสอบสวนพยานเสร็จสิ้นแล้ว ตำรวจมีความเห็นทางคดีที่จะสั่งฟ้อง ทนายสายหยุดก็จะยื่นคำร้องต่อศาลขอประกันอีกครั้ง โอกาสที่จะได้รับการปล่อยตัวก็น่าจะมี


ทนายเดชา ยังตั้งข้อสังเกตว่า การที่ทนายตั้มออกมาปรากฏต่อหน้าสื่อหรือการออกมาแอ็คชั่นในกรณีนี้ เป็นการเบี่ยงเบนให้ฝั่งตรงข้ามของทนายตั้ม เอาประเด็นนี้ไปเล่น ส่วนประเด็นที่บุคคลสาธารณะหรือ ลุง ส. มาโจมตีตนนั้น คาดว่าเพราะทนายตั้มสนิทกับตน จึงต้องเล่นตนเองก่อน และต้องการคอนเทนท์ไปลงรายการตัวเอง ซึ่งตนเองก็ไม่ได้ว่าอะไร  แต่หากพบมีความเสียหายจะฟ้องทันที ซึ่งจะใหญ่โตจากไหนตนเองไม่สนใจ และในส่วนที่ ลุง ส.ออกมาไลฟ์สดว่า ไม่ให้ค่าตนนั้น ถ้าไม่ให้ค่าก็อย่ามาโหนตน อย่าเอาตนไปพูดในรายการ


ส่วนกรณีที่ทนายตั้มถูกดำเนินคดีในครั้งนี้ถือเป็นการเอาคืนของตำรวจหรือไม่ เพราะทนายสายหยุดก็มีการกล่าวว่า ตำรวจเล่นใหญ่เกินไป ทนายเดชา กล่าวว่า ตนพูดกับทนายสายหยุด ทนายสายหยุดกล่าวว่า การจะจับกุมในข้อหาก็ดำเนินการไป แต่การที่นำสืบในข้อมูลที่ลึก หรือการดูดข้อมูลในโทรศัพท์มองว่าเป็นการรังแก แต่ก็ต้องยอมรับว่าทนายตั้มสร้างศัตรูไว้เยอะ ตั้งแต่อดีต ผบ.ตร. จนถึงคนปัจจุบัน ที่เป็นขั้วตรงข้ามกับ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊ก


เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีผู้กำกับ สน.บางซื่อ ที่โดนตั้งคณะกรรมการสอบจะมีผลอย่างไรนั้น ทนายเดชา บอกว่า มีข่าวแว่วมาถึงตนว่า ผู้กำกับนายนี้มีสิทธิ์จะโดนเด้ง เพราะเท่าที่รู้มาผู้กำกับคนนี้เรียนรุ่นเดียวกันกับบิ๊กโจ๊ก จึงมองว่าครั้งนี้เปรียบเหมือนเป็นการกวาดล้างเครือข่ายบิ๊กโจ๊ก  ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างทนายตั้มกับผู้กำกับนายนี้ก็มีความสนิทสนมกัน จนถึงขั้นเข้าออก สน.บางซื่อบ่อย ๆ และไม่ว่ามีอะไร ทนายตั้มก็จะไปแจ้งความในพื้นที่สถานีตำรวจนี้ โดยทนายเดชามองว่า เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของเครือข่ายเส้นสาย ที่มีคนรู้จักอยู่ท้องที่ไหน จะไปแจ้งความที่โรงพักที่นั้น หรือที่เรียกว่า “โรงพักของเรา”


ทั้งนี้ จากการพิจารณาการถูกแจ้งข้อกล่าวหา ตัวทนายตั้มมีอัตราโทษรวมแล้วกว่า 10 ปี จึงทำให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจในการควบคุมตัวและยังส่งผลให้การฝากขังถูกเพิ่มจาก 4 เป็น 7 ฝาก (84 วัน) รวมถึงต้องไปดูเรื่องการฟอกเงิน ที่เป็นคดีต่างกรรมต่างวาระ แต่ในชั้นนี้ทนายตั้มยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะมีการพิพากษา


ส่วนกรณีที่ทนายตั้มจะถูกลบชื่อจากทนายความหรือไม่ หลังจากที่มีการร้องให้ตรวจสอบเรื่องมรรยาททนายความของทนายตั้มนั้น ทนายเดชา กล่าวว่า การถอนใบอนุญาตไม่ใช่เรื่องง่าย การดำเนินการมีขั้นตอน และจะต้องมีคำพิพากษาถึงที่สุด อาจจะใช้เวลา 5-7 ปี ที่จะลบชื่อทนายตั้มออกได้ และขออย่าเหมารวมว่า แวดวงทนายความจะได้รับความเสื่อมเสีย ต้องมองเป็นรายบุคคล


เมื่อถามว่า หากทนายตั้มได้รับการปล่อยตัว จะได้เห็นทนายทีมอเวนเจอร์ไปรอรับหรือไม่ ทนายเดชา ระบุว่า ต้องดูสถานการณ์ก่อน เพราะกลัวทัวร์ลง จะต้องดูกระแสก่อนไม่ใช่อยากทำอะไรก็ทำ


เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวว่าจะมีทนายหรือที่ปรึกษาทางกฎหมายคนต่อไปจะถูกแฉนั้น ทนายเดชา กล่าวว่า ตนทราบมาว่า มีทนายดังที่ไปออกรายการดัง และน่าจะอยู่ในแก๊งอเวนเจอร์ รับเงินลูกความมา 1 แสนบาท แต่ไม่ทำอะไร แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดมากกว่านี้ เพราะหากพูดไปทุกคนจะรู้ทันที


เมื่อถามว่า ทนายตั้มถูกนำตัวเข้าเรือนจำจะมีโอกาสได้เจอกลุ่มบอสดิไอคอนกรุ๊ปหรือไม่ ทนายเดชา กล่าวว่า ได้ข่าวว่าเจอ และพวกบอสอาจจะเปลี่ยนทนายก็ได้ เพราะทนายตั้มมีลีลาไม่ธรรมดา ซึ่งตนทราบมาว่า ระหว่างการให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน บก.ป. ตำรวจให้ทนายตั้มเซ็นลงชื่ออนุญาตในการเข้าถึงข้อมูลโทรศัพท์ แต่ทนายตั้มไม่เซ็น  และทนายตั้มกล่าวกับพนักงานสอบสวนว่า “คุณจะเอามือถือผมไปดูด คุณรู้หรือไม่ ข้างในมีอะไร มีข้อมูลเกี่ยวกับบิ๊กต่อ บิ๊กโจ๊ก คุณกล้ารับผิดชอบหรือไม่หากหลุดไป” ซึ่งตนก็ตั้งคำถามว่า การที่เข้าถึงข้อมูลโทรศัพท์ทนายตั้มนั้น เพื่อต้องการขยายผลถึงคดีนี้หรือคดีอื่นกันแน่


เมื่อถามว่าเมื่อเกิดกรณีคดีความของทนายตั้มแล้ว นายพลตำรวจคนสนิท จะดีดทนายตั้มทิ้งหรือไม่ ทนายเดชา กล่าวว่า ตนเชื่อว่าไม่ เพราะมีผลประโยชน์ร่วมกัน แต่เมื่อเกิดกระแสภาพลบก็กรรมใครกรรมมันไป อีกทั้ง ทั้ง 2 คนก็มีความลับซึ่งกันและกันด้วย คงไม่ทิ้งกัน


อย่างไรก็ตาม ทนายเดชาคาดว่าคนต่อไปที่อาจจะถูกดำเนินคดี คือ พี่สาวของภรรยาทนายตั้ม เพราะในสำนวนคดีที่แจ้งข้อกล่าวหา พบว่ามีการโอนเงินจากภรรยาทนายตั้มไปถึงพี่สาว


รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/jbh0xVriG8U

คุณอาจสนใจ

Related News