สังคม

ป้าร้อง วินจยย.คลั่ง ด่า-ปาของ-บุกศูนย์เด็กเล็ก บุกคุมตัววุ่น รับเสพยา อ้างโดนทำคุณไสยใส่

โดย passamon_a

9 มิ.ย. 2567

174 views

ป้าร้องสายไหมต้องรอด โดนวินจยย.คลั่ง ปาของและด่าใส่ พบเคยบุกศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก แจ้งตำรวจไม่สนใจ บอกอย่าคิดมาก ล่าสุดตำรวจบุกคุมตัวชายคลั่ง รับเสพยา อ้างโดนป้าทำคุณไสยใส่


เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.67 นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด รับเรื่องร้องเรียนจากป้าวัย 57 ปี และลูกสาววัย 31 ปี รายหนึ่ง ที่พักอาศัยอยู่ย่านบางแค ถูกเพื่อนบ้านเป็นวินมอเตอร์ไซค์ปาสิ่งของใส่หลังคาบ้าน และชอบตะโกนด่าทั้งเช้าทั้งเย็น เป็นที่เอือมระอาและทนมากกว่า 5 ปีแล้ว


โดยคุณป้าเล่าว่า จุดเริ่มต้นมาจากเมื่อปี 2563 วินมอเตอร์ไซค์คนนี้ได้มีการตะโกนด่าทอภายในบ้าน แต่เสียงได้ยินมาถึงบ้านตน ซึ่งตอนแรกตนก็ยังไม่ได้รู้สึกเอะใจและไม่ได้ให้ความสนใจ จนเมื่อเดือนธันวาคม 2563 วินคนนี้มีการเอ่ยชื่อลูกชายของตน จึงได้ไปสอบถาม ปรากฏว่าเขายอมรับผิดขอโทษ อ้างว่าเขาหูแว่วได้ยินเสียงลูกชายของตนด่าตลอดเวลา แม้กระทั่งนอนหรือแปรงฟันก็ได้ยินเสียงลูกชายของตนไปด่าเขา ทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นความจริง เพราะลูกชายอยู่แต่ในบ้าน พร้อมกันนี้เขายอมรับกับตนว่า เขาได้มีการเสพยาเสพติดจริง และรับปากว่าจะไม่ทำอีก ตนก็เลยปล่อยเลยตามเลย


แต่ว่าเขาก็ยังคงตะโกนด่าเรื่อย ๆ จนกระทั่งเดือนพฤษภาคมปี 2564 เขาได้เริ่มขว้างปาสิ่งของใส่หลังคาบ้านของตนจนได้รับความเสียหาย โดยครั้งนั้นได้ปาครกใส่บ้าน ตนจึงได้ตัดสินใจเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.หลักสอง ซึ่งคดีนี้ถือว่าสิ้นสุดแล้ว เนื่องจากเรื่องไปถึงศาลอาญาธนบุรี ซึ่งมีคำพิพากษาให้จำคุกชายคนดังกล่าว แต่ลงอาญา 2 ปี พร้อมทั้งให้ชดใช้ค่าเสียหายประมาณ 40,000 บาท ซึ่งตอนนั้นแนวทางของศาลอยากให้มีการไกล่เกลี่ยกันมากกว่า เพราะถือว่าเป็นเพื่อนบ้าน ตอนนั้นตนก็ยินยอมและวินคนนี้ก็จะยอมจ่ายชดใช้ค่าเสียหายตามคำสั่งศาล แล้วหลังจากนั้น 1 ปีผ่านไป วินคนนี้ก็ไม่มีการมาคุกคาม ตะโกนด่า หรือปาสิ่งของใส่บ้านตนเองอีก


จนกระทั่งเดือนสิงหาคมปี 2566 วินมอเตอร์ไซค์คนนี้เกิดคลุ้มคลั่งมาทุบกำแพงบ้านของตน พร้อมกับตะโกนด่าตนอีกครั้ง โดยได้มีการไปแจ้งความกับตำรวจ สน.หลักสอง แล้วก็เรียกให้วินคนดังกล่าวมาไกล่เกลี่ยและวินคนนี้ก็ยอมที่จะซ่อมแซมกำแพงบ้านให้ แต่หลังจากนั้นเรื่อยมา วินคนนี้ก็ยังมีการตะโกนด่าและขว้างปาสิ่งของมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งช่วงเช้าและช่วงเย็นก่อนที่เขาจะเดินทางออกไปวิ่งวิน ก็จะมีการตะโกนด่าตนด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย และกล่าวหาว่าตนไปมีอะไรกับพระหรือตำรวจ ตอนกลางวันขนาดเขาออกไปทำงาน ก็ยังมีการขี่มอเตอร์ไซค์มาด่าตนถึงหน้าบ้าน ตกดึกก็ยังคงเป็นการตะโกนด่าตนอีก จนแทบไม่หลับไม่ได้นอน นอกจากนี้ยังมีการพูดจาข่มขู่จะทำร้ายร่างกายคนในบ้านของตน โดยเฉพาะลูกชายของตนอีกด้วย


ตั้งแต่นั้นเรื่อยมา ตนได้ไปแจ้งความกับ สน.หลักสอง เกือบทุกวัน พร้อมทั้งบอกกับตำรวจว่า ชายคนนี้อ้างว่าเคยติดยาเสพติด นอกจากนี้เมื่อช่วงพฤษภาคมที่ผ่านมา ชายคนดังกล่าวยังเคยบุกมาคุกคามตนถึงภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ตนเป็นครูอยู่ โชคดีที่ตอนนั้นคุณครูช่วยกันห้ามเอาไว้ทันและไม่เกิดเหตุอันตรายใด ๆ แต่ในวันนั้นมีเด็กเล็กอยู่กันเป็นจำนวนมาก ตนได้รับมอบหมายจากศูนย์เด็กเล็กให้ไปแจ้งความกับตำรวจอีกครั้ง ปรากฏว่าตำรวจ สน.หลักสอง รับเพียงแค่ลงบันทึกประจำวัน แต่ไม่ดำเนินการทางคดีให้ เพราะอ้างว่าความเสียหายยังไม่เกิดขึ้น สิ่งที่ชายคนดังกล่าวทำนั้นเป็นเพียงแค่การกลั่นแกล้ง ตำรวจอ้างอีกว่า ไม่มีหน้าที่ในการคุมตัวชายคนดังกล่าวไปตรวจสารเสพติด เพราะชายคนดังกล่าวนั้นอยู่ภายในบ้าน ไม่สามารถเอาตัวออกมาได้ เดี๋ยวจะกลายเป็นการกักขังหน่วงเหนี่ยว อีกทั้งกรณีการบุกไปที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ตำรวจไม่รับแจ้งความ เพราะมองว่ายังไม่เกิดความเสียหายใด ๆ เกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่ตนได้บอกไปว่า เขาอาจจะมีอาวุธบุกเข้าไปได้และอาจจะเกิดเหตุซ้ำรอยคล้ายเหตุสังหารหมู่ที่หนองบัวลำภู เมื่อปี 2565 แต่ตำรวจบอกกับตนเพียงแค่ว่า อย่าคิดมาก


หลังจากนั้นเป็นต้นมา ตนต้องทนทุกข์ทรมานกับพฤติกรรมของวินคนดังกล่าว ตำรวจก็ไม่สามารถที่จะดำเนินคดีได้ ไม่มีใครให้พึ่งพิง เพราะล่าสุด เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ชายคนนี้ก็ยังคงขว้างปาก้อนหินและอุปกรณ์ทำครัวใส่บ้าน แล้วตะโกนด่าตนทั้งเช้าทั้งเย็นและกลางคืน


ล่าสุด เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา ชายคนดังกล่าวได้โพสต์ลงในกลุ่มของหมู่บ้านเพื่อร้องเรียน หาว่าบ้านของตนมีการทำคุณไสยใส่เขา โพสต์เพื่อถามหาว่า ใครพอมีเบอร์ติดต่อของหมอผีบ้าง แล้วหลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ได้มีการนำเครื่องรางของขลังลอบมาแขวนหน้าบ้านตน ไปจนถึงทุบทำลายกระถางต้นไม้ เปิดเพลงบทสวดท้าวเวสสุวรรณช่วงประมาณเที่ยงคืน เพื่อจงใจให้บ้านของตนได้ยิน ตนและครอบครัวรู้สึกวิตกกังวลในเรื่องของความปลอดภัย ที่ผ่านมาอยู่ด้วยความหวาดระแวงมาโดยตลอด เพราะนอกจากการด่าทอและการปาสิ่งของใส่แล้ว ยังไม่รู้ว่าเขาจะบุกมาที่บ้านของตนเมื่อไหร่ อีกทั้งยังมีพฤติกรรมที่ตามคุกคาม แม้กระทั่งบุกไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เลยตัดสินใจมาร้องเรียนงานเพจสายไหมต้องรอด เพราะเนื่องจากตำรวจ สน.หลักสอง ก็ไม่สามารถพึ่งพาได้


ด้าน นายเอกภพ เปิดเผยว่า หลังจากนี้จะประสานตำรวจ สน.หลักสอง เพื่อลงพื้นที่ไปดำเนินการจับกุมวินคนดังกล่าว เพราะถือว่าไม่ใช่คนที่มีปัญหาทางจิตอย่างเดียว แต่ถือว่ามีพฤติกรรมอันตรายที่เป็นภัยต่อสังคม สงสัยว่าวินคนนี้สามารถมาขับรถสาธารณะได้อย่างไร เพราะอาจจะเป็นอันตรายแก่ผู้โดยสารได้ อีกทั้งยังเคยมีพฤติกรรมบุกไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ซึ่งเขาอาจจะพกพาอาวุธแล้วไปก่อเหตุซ้ำรอยคล้ายเหตุสังหารหมู่ที่หนองบัวลำภูได้ จึงตั้งคำถามกลับไปยังพนักงานสอบสวน สน.หลักสอง ว่าทำไมคุณถึงหละหลวมการปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้ ทำไมถึงคิดโลกสวยกับคนแบบนี้ หรือต้องรอให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก่อนถึงจะปฏิบัติหน้าที่ได้ อีกทั้งการปฏิเสธนำตัวชายต้องสงสัยคนนี้ไปตรวจสารเสพติด ทั้ง ๆ ที่เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หมายความว่าอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้จะมีการเร่งรัดให้ ผกก.สน.หลักสอง ตรวจสอบพฤติกรรมของตำรวจดังกล่าวอย่างละเอียด


ต่อมาในช่วงบ่าย ทีมงานสายไหมต้องรอด ได้ประสานกับทางชุดสืบสวน สน.หลักสอง เดินทางไปยังบ้านของผู้เสียหายและบ้านของผู้ก่อเหตุ ซึ่งอยู่ภายในซอยศิริเกษม 17 แขวงบางแค เหนือเขตบางแค เมื่อเดินทางไปถึงบริเวณหน้าบ้านของผู้ก่อเหตุ พบว่าผู้ก่อเหตุวัย 39 ปี พักอาศัยอยู่กับแม่วัย 59 ปี ซึ่งขณะนั้นชายผู้ก่อเหตุได้หลบเข้าไปในบ้านและล็อคกุญแจ พร้อมได้ตะโกนออกมาว่า ไม่ต้องการพูดคุยกับใคร นายเอกภพจึงได้พยายามพูดเกลี้ยกล่อม จนผู้ก่อเหตุยอมลงมาข้างล่างและพูดคุยบริเวณหน้าบ้าน


โดยตัวผู้ก่อเหตุยอมรับว่า ตนเองนั้นเสพยาบ้าทุกวัน วันละ 3 เม็ด เมื่อเช้าก็เพิ่งเสพไป 1 เม็ด แต่อ้างว่าที่ตนต้องตะโกนด่าและขว้างปาสิ่งของใส่บ้านผู้เสียหาย เป็นเพราะบ้านของผู้เสียหายทำของไสยศาสตร์ใส่ตน เนื่องจากตนไม่ถูกกับบ้านผู้เสียหาย และเชื่อว่าต้องเป็นฝีมือของบ้านผู้เสียหายที่ทำของใส่ตน เพราะว่าทุกคืนนั้น ตนจะรู้สึกเหมือนมีของบางอย่างมากระแทกที่บริเวณหน้าท้องจนได้รับความทรมานเลย รวมทั้งชอบฝันร้ายตอนกลางคืนและขากระตุกตลอดเวลา ทำให้ตนต้องบูชาพระต่าง ๆ โดยเฉพาะท้าวเวสสุวรรณ เพื่อสกัดไม่ให้มนต์ดำเข้าตัวเอง โดยผู้ก่อเหตุยืนยันว่า ไม่ได้เป็นเพราะฤทธิ์ของการเสพยาเสพติด


นอกจากนี้ ยังกล่าวหาว่าบ้านผู้เสียหายมาขโมยของบ้านของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ สายกล้องวงจรปิด อุปกรณ์ทำครัวและอื่น ๆ


อย่างไรก็ตาม บรรยากาศในขณะนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียด เพราะผู้ก่อเหตุไม่ยอมที่จะออกมาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่โดยดี รวมทั้งยังแสดงอาการก้าวร้าวและพยายามที่จะคลุ้มคลั่งจนหลบเข้าไปในบ้านอีกครั้ง โดยล็อคประตูบ้านเพื่อไม่ให้ใครเข้าออกด้วยความหวาดระแวง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพยายามที่จะเจรจาอีกครั้ง เพื่อต่อรองว่า เป็นการมาพูดคุย ไม่ใช่เป็นการจับกุม แต่ผู้ก่อเหตุก็ยังตะโกนผ่านหน้าต่างด่าทอต่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและสื่อมวลชน


ในที่สุด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตัดสินใจที่จะให้แม่ของผู้ก่อเหตุช่วยตัดกุญแจให้ เนื่องจากผู้ก่อเหตุไม่ยินยอมที่จะนำกุญแจเปิดประตูรั้วบ้าน โดยแม่ผู้เป็นเจ้าบ้าน อนุญาตให้เจ้าหน้าที่เข้าบ้านได้ ซึ่งในระหว่างที่แม่ของผู้ก่อเหตุพยายามที่จะตัดกุญแจนั้น ปรากฏว่าผู้ก่อเหตุได้ออกมาจากบ้านอีกครั้งแล้วพยายามฉุดกระชากลากแม่ของตนเองต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจและสื่อมวลชน ชุดสืบสวนจึงตัดสินใจปีนเข้าบ้านและช่วยตัดกุญแจ ก่อนจะนำเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอุปกรณ์ไม้ง่ามและโล่เข้าไปในบ้าน โดยตัวผู้ก่อเหตุก็ยังไม่ยินยอมที่จะลงมาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทางเจ้าหน้าที่จึงเจรจากับผู้ก่อเหตุว่า ไม่ได้มาจับกุมแต่อย่างใด แต่เป็นการเชิญไปพูดคุยที่สถานีตำรวจ ในที่สุดตัวผู้ก่อเหตุก็ยินยอมที่จะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวแต่โดยดี ก่อนที่จะนำตัวผู้ก่อเหตุไปพูดคุยเบื้องต้นที่ สน.หลักสอง


ซึ่งหลังจากคุมตัวชายคลั่งวัย 39 ปี ผู้ก่อเหตุขว้างปาสิ่งของใส่เพื่อนบ้านและเสพยาเสพติดมายัง สน.หลักสอง ได้เป็นผลสำเร็จแล้วนั้น ทางด้านแม่ของผู้ก่อเหตุวัย 59 ปี เปิดใจกับสื่อมวลชน ยอมรับว่าตนเองค่อนข้างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่ลูกชายของตนเองวิ่งลงจากบ้านชั้น 2 มากระชากตนเอง ขณะนั่งคุยกับตำรวจและสื่อมวลชนอยู่บริเวณหน้าบ้านด้านในรั้ว นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ลูกชายทำร้ายร่างกายถึงเนื้อถึงตัวตนเองขนาดนี้


ปกติแล้วตนเองพักอาศัยอยู่ภายในบ้านหลังดังกล่าวกับลูกชายกันสองคน โดยลูกชายมักจะชอบตะโกนด่าอยู่คนเดียวภายในบ้าน ที่ผ่านมาตัวแม่เองไม่กล้าที่จะเตือน เพราะหากเตือนแล้วลูกชายก็จะโมโหและด่าทอตนเองเช่นกัน ส่วนเรื่องพฤติกรรมการคุกคามเพื่อนบ้านนั้น ตนไม่ค่อยเห็น เพราะเนื่องจากตนออกไปทำงานในตัวเมืองแล้วกลับมามืดค่ำ แต่ก็พอทราบว่าเขามีพฤติกรรมชอบปาสิ่งของและด่าทอเพื่อนบ้านจนเป็นที่เอือมระอาและตักเตือนอะไรไม่ได้


คุณแม่ เปิดใจอีกว่า ลูกชายติดสารเสพติดมานานแล้ว แต่ตนเองไม่เคยเห็นในขณะที่ลูกชายใช้สารเสพติด คาดว่าน่าจะติดสารเสพติดมาจากกลุ่มเพื่อน เพราะเขาเป็นคนติดเพื่อนอย่างมาก ปกติลูกชายจะเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องคนเดียวและไม่ได้มาสุงสิงกับใครแม้กระทั่งกับตนเอง ตนเองเคยขอร้องลูกชายให้เลิกยาเสพติด และเคยตักเตือนว่าอย่าไปวุ่นวายกับเพื่อนบ้าน โดยให้ต่างคนต่างอยู่ไม่อยากให้ไปวุ่นวายกับเพื่อนบ้านหลังอื่น ๆ และเคยบอกลูกชายว่า ให้ลูกชายออกไปพักอาศัยที่อื่น และตนเองจะขออยู่บ้านหลังที่เกิดเหตุเพียงลำพัง เพราะตนเองเครียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและต้องทนทุกข์ทรมานกับลูกชายคนนี้ ไม่อยากให้อยู่บ้านหลังเดียวกันแล้ว บางครั้งเคยแอบร้องไห้เพียงลำพังอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งก็นั่งอยู่ที่ทำงานโดยที่ไม่อยากกลับบ้าน บางครั้งก็อยากไปพักอาศัยอยู่กับลูกคนเล็ก แต่ลูกคนเล็กก็มีครอบครัวแล้ว จึงเกรงใจ


ส่วนเรื่องคุณไสยนั้น ลูกชายชอบสะสมพระเครื่อง แต่ตนเองไม่เคยเห็นว่า ลูกชายมีพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับคุณไสย ทั้งนี้ตนเองในฐานะคนเป็นแม่ ก็ยินดีให้ลูกชายเข้าสู่กระบวนการบำบัดสารเสพติด เพราะจากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในวันนี้เห็นได้ชัดว่า ลูกชายดูไม่เหมือนลูกชายคนเดิมของตนเองเลย


ด้านตำรวจ สน.หลักสอง ให้ข้อมูลว่า เบื้องต้นจากการตรวจสารเสพติดที่สถานีตำรวจว่า พบสารเสพติดในร่างกายของผู้ก่อเหตุ แต่จะต้องส่งปัสสาวะให้โรงพยาบาลตรวจสารเสพติดอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อให้ได้ผลอย่างเป็นทางการจากทางแพทย์ หากพบมีสารเสพติดในร่างกายอย่างเป็นทางการ จะได้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาเสพยาเสพติดก่อนจะส่งตัวบำบัดต่อไป


ทั้งนี้ ตัวผู้ก่อเหตุยังพูดจาวกไปวนมาคล้ายกับคนมีสารเสพติดในร่างกาย จึงพยายามเกลี้ยกล่อมให้ตัวผู้ก่อเหตุใจเย็นลง ซึ่งต่อมาผู้ก่อเหตุเริ่มซึมและนิ่งแล้ว ส่วนคดีข้อหาอื่น ๆ ที่เป็นปัญหากับเพื่อนบ้านผู้พิพาทนั้น จะมีการรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนจะออกหมายเรียกเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/Ig0oreQyhxs

คุณอาจสนใจ

Related News