สังคม
เปิดแชตสุดท้าย 'ผู้เสียชีวิต' ส่งหา 'อาย' บอก "ทำบุญให้คนป่วยแบบพี่ด้วย" โต้ทนายอีกฝั่งใช้สื่อกดดันไม่จริง
โดย parichat_p
26 ก.พ. 2567
166 views
เปิดข้อความสุดท้าย นางสาวภานุมาศ ผู้ตาย ได้ส่งข้อความหา 'อาย' หลานสะใภ้อากู๋ ยังไงก็คิดว่าทำบุญให้คนป่วยแบบพี่ด้วยนะคะ" ขณะที่ทนายเดชา โต้กลับทนายความคู่กรณี หลังถูกกล่าวหาว่า ใช้สื่อเป็นเครื่องมือกดดัน
เมื่อเวลา 15.00 น. ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ในฐานะทนายความของอากู๋ และนายภคิน ทิมกุล หรือ ซัน ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าว
โดยวันนี้ ทางทนายเดชา ได้นำแชทข้อความบางส่วนที่ นางสาวภานุมาศ ส่งหา นางสาวอาย ภรรยาของซันเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มาแสดงให้ผู้สื่อข่าวดู เป็นข้อความระบุว่า "ยังไงก็คิดว่าทำบุญให้คนป่วยแบบพี่ด้วยนะคะ" โดยขณะนั้นคุณอาย ไม่ได้ตอบข้อความกลับไป เพราะยังอยู่ในอารมณ์โกรธด้วยเช่นกัน
โดยบางช่วงของการแถลงข่าว คุณซัน ระบุว่า ขอแสดงความเสียใจกับทางผู้เสียชีวิต และคุณเอ๋ สามีของผู้ตาย และญาติพี่น้อง เรื่องแบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ทางเราพร้อมที่จะรอเจรจา หรือรอไกล่เกลี่ยกันที่ชั้นศาล แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ และที่ทางทนายฝ่ายคู่กรณีกล่าวโทษ ว่ามีการใส่ร้ายว่าเราพยามจะใช้อำนาจสื่อ ซึ่งตนเองคิดว่าไม่ค่อยโอเค เพราะกรณีนี้ ก็มีผู้เสียชีวิตเหมือนกันตนเองก็รู้สึกไม่โอเคเหมือนกัน
ถ้าวันนี้ไม่มีผู้เสียชีวิต ตอนแรกพวกเราก็จะคุยกันอยู่ว่าจะเอายังไง แล้วก็เห็นว่าทางนั้นจะไปที่ศูนย์เจรจา ว่าจะยื่นเรื่องขอเจรจากับพวกเรา แล้วทางนั้นก็บอกว่าจะถอนฟ้องคดีที่ฟ้องปรปักษ์มา แต่ทางเราก็ตรวจสอบ พบว่ายังไม่ได้ถอน ซึ่งเขาบอกว่าจะถอนให้ก่อนเจรจาด้วยซ้ำ เพราะสำนึกผิด ทางเราตรวจสอบมายังก็ไม่ได้ถอน และพูดตามตรงว่า ขณะนั้นยังโกรธอยู่ เพราะบุกรุกมาซ้ำซ้อน แต่ตอนนี้ผ่านจุดนั้นมาแล้ว แต่เรื่องนี้ก็ค่อยว่ากันอีกที
เมื่อสอบถามว่าในอนาคต จะขายบ้านให้ฝั่งคู่กรณีหรือไม่ คุณซัน บอกว่าอันนี้ต้องถามอากู๋ก่อน แต่ส่วนตัวมันเลยจุดนั้นมาแล้ว เรื่องเพิ่งเกิดมา ตอนนี้ยังช็อคกันอยู่ ยังทำตัวไม่ถูก
ทั้งนี้คุณซัน ยังให้ข้อมูลอีกว่า สามีผู้ตายว่า คือ คุณเอ๋ ส่งข้อความหาตนเองว่า "พี่พลกฤษณ์เองครับ" ก่อนจะเขียนข้อความต่อว่า "ต้องขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากๆเลยครับ อยากจะขอให้พี่ได้เข้าไปพูดคุยกับน้องซักครั้งนะครับ เรื่องปรปัก พี่ให้คุณศรีพรรณ กับทนายไปถอนคำร้องแล้วครับ"
โดยซัน ว่า คุณเอ๋ สามีผู้ตาย ได้ติดต่อมาเพื่อจะเจรจาไกล่เกลี่ยขอโทษ และจะรับสารภาพทุกอย่าง รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำ อยากเจรจา แต่ด้วยความที่ทางตนไม่รู้ข้อกฎหมาย เลยแนะนำให้มาคุยกับอาจารย์เดชาก่อน เพราะคดีอยู่ในชั้นอัยการแล้ว ซึ่งได้ติดต่อมาประมาณ 1-2 สัปดาห์แที่แล้ว หลังจากที่ไปอัยการมีนบุรี
ส่วนสัญญาณที่บ่งบอกว่าตัวผู้ตายมีความเครียดจนนำไปสู่การก่อเหตุหรือไม่นั้น คุณซันบอกว่า ไม่มี และไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ อยากให้ไกล่เกลี่ยในชั้นศาลได้ คู่กรณีไม่มีสัญญาณ ถึงกับฆ่าตัวตาย แต่มีบอกว่าเครียด อยากเจรจา อยากที่จะจบ แต่ทางเราก็เครียดเช่นกัน แต่ไม่อยากจะซ้ำเติมอะไร และเสียใจกับทางญาติพี่น้องเขาด้วย
ส่วนหลังจากนี้ จะทำอย่างไรต่อ หลังจากนี้เดี๋ยวขอคุยกับทางอากู๋ก่อน รวมถึง คุณอายด้วย เพราะตอนนี้อากู๋ก็เสียใจ ช็อคอยู่แล้ว รวมถึงอาย ภรรยาของตน ก็เสียใจหนักเหมือนกัน แล้วยิ่งฟังทนายคู่กรณีพูด พวกเรายิ่งรู้สึกแย่มาก
เมื่อสอบถามว่าจะไปร่วมงานศพผู้ตายหรือไม่ ทางคุณซันบอกว่า ตนคิดว่าแค่นี้ทางครอบครัวผู้เสียชีวิตก็น่าจะเสียใจพลอยแล้ว ไม่อยากไปทำอะไรให้พวกเค้าแย่ไปมากกว่านี้ หากตนไปไม่รู้ว่าจะเป็นการดูหมิ่นหรือไม่ หรือเป็นการยิ่งซ้ำเติม
ด้านทนายเดชา กล่าวว่า พวกตนก็เสียใจ และตนเองได้ถามอากู๋ และอากู๋แจ้งผ่านตนมาว่า "อโหสิกรรมให้"
แต่มีประเด็นที่ทนายความของคู่กรณี มีการให้สัมภาษณ์ในเชิงใส่ร้ายอากู๋ ตนเอง และสื่อมวลชนในทำนองว่าร่วมมือการใช้สื่อไปกดดัน จนผู้ตายถึงแก่ความตาย พวกเราขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง
ก่อนกล่าวถึงความคืบหน้าทางคดีที่ผู้ต้องหาทั้ง 5 คน รวมทั้งผู้ตาย อัยการนัดในวันที่ 6 มีนาคมนี้ เวลา 09.00 น. เมื่อผู้ต้องหาเสียชีวิตไปหนึ่งท่าน สิทธิ์ในการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการก็สิ้นสุดไป เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา
ซึ่งหลังจากนี้ ต้องรอฟังคำสั่งจากพนักงานอัยการอีกครั้ง ว่าจะเป็นแนวทางใด เมื่อถามว่า ความเครียดจะนำไปสู่การคิดสั้นหรืไม่ ทางทนายเดชา ย้ำว่า ก่อนหน้านี้ สามีของผู้ตาย และสามีของคุณมาลี 1 ในผู้ต้องหาคดีบุกรุก ได้มาพบตนเองว่ามีความสำนึกผิดในการบุกรุกเข้าไปบ้านของอากู๋ และยินดีที่จะแสดงความรับผิดชอบด้วยการชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด และติดต่อไปยังอากู๋ เพื่อที่จะเข้าไปกราบอากู๋ ก่อนที่จะเสียชีวิต ตัวเองก็เป็นคนกลางคุยกับอากู๋อยู่ เมื่อมันยังไม่จบสิ้น ก็ทำให้เขาเกิดความเครียด ซึ่งเป็นเหตุการณ์หลังเป็นข่าว และบอกว่าจะถอนฟ้อง คดีครอบครองปรปักษ์ ซึ่งเปึนคดืของคุณศรีพรรณ พี่สาวของผู้ตาย ที่เป็นคนร้อง โดยสามีของผู้ตาย ไม่ได้พูดถึงคุณภานุมาศ แต่พูดว่าสำนึกในการกระทำ
ส่วนทนายความฝั่งตรงข้าม พาดพิง ทนายเดชาชี้แจงว่า น้องซันและน้องอายก็ไปร้องเรียนสื่ออยู่แล้ว พอหลังจากร้อง หลังจากนั้นก็มาหาตนเอง ก็มาดูหลักฐานอะไรต่างๆ เป็นลักษณะการบุกรุกก็ไป จึงให้ไปแจ้งความแล้วให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย
หการร้องเรียนสื่อมวลชน เป็นเรื่องปกติ เพราะฉะนั้นการร้องเรียนสื่อมวลชนซึ่งเป็นปากเป็นเสียงเป็นเรื่องปกติ เป็นใช้สิทธิ์โดยชอบ และการดำเนินคดีครั้งแรกก็เป็นข่าว จะเห็นได้ว่าไม่ได้มีการกดดันแต่อย่างใด
แต่การที่ทนายความคู่กรณีพูดแบบนี้ เป็นการพูดที่ไม่มีความรับผิดชอบ เค้าเป็นทนายความต้องนึกถึงบาปบุญคุณโทษ ต้องถามกลับว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะเขาหรือเปล่า คุณไปแนะนำให้ครอบครัวเขาบุกรุก เข้าไปในบ้านครั้งที่สองหรือเปล่า เอาไปข้อความว่าบ้านของนางศรีพรรณแล้วมาติด แนะนำให้ตัดกุญแจเข้ามาหรือเปล่าทนายแบบนี้ไปทางไหน เป็นทนายที่มีคุณธรรมไหม ถามกลับว่าลูกความคุณตาย เป็นเพราะตัวคุณเอง หรือสื่อ เพราะเป็นคนแนะนำให้บุกรุกมาครั้งที่สองใช่ไหม
ทนายคนเดิมก็ไม่ได้ให้ผู้บุกรุก และให้เจรจาไกลเกลียไม่รู้กี่ครั้ง ค่าเสียหายจะจบไปแล้ว วันดีคืนดีเปลี่ยนทนายความใหม่ เลยตั้งข้อสงสัยว่าทนายความคนใหม่ เป็นคนแนะนำให้มาบ้านหลังนี้หรือไม่ และตนก็ได้คุยกับสามีคนตายก็บอกว่าเชื่อทนายคนใหม่
พร้อมย้ำว่า ถ้าหลักฐานไม่มี เราควรยุให้เค้าสู้คดีหรือไม่ การให้ความรู้ทางคดีแบบนี้เหมาะสมหรือไม่ ซึ่งหากลูกความไปบุกรุก และติดคุกขึ้นมาจะรับผิดชอบอย่างไร ยืนยันว่าสื่อมวลชนไม่ใช่เครื่องมืออะไรของตน และไม่ได้กดดันผู้ตายถึงแก่ความตาย
คดีนี้เป็นคดีแรกที่ทนายความแนะนำลูกความตัวเอง จนเครียด และเสียชีวิตตนเอง เพื่อจะเห็นเป็นคดีแรก อยากฝากถึงทนายความของคู่กรณีอย่าไปซ้ำเติมเขาเลย ทั้งตนเอง และอากู๋ได้อโหสิกรรมไม่ติดใจผู้ตาย แต่ทนายความคนนี้ควรจะรับผิดชอบอะไรต่อลูกความไหม
รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/R4Hl9UnygqY