ขอนแก่นจับมือเผา 323 คดี ผู้ว่าฯ สั่งเดินหน้าปราบฝุ่น คุมเข้มเฝ้าระวังไฟป่าตลอด 24 ชม.

ขอนแก่นรวบมือเผาป่า-ไร่อ้อย สร้างภาวะฝุ่นแล้ว 323 คดี ผู้ว่าฯ สั่งเดินหน้าปราบฝุ่นเต็มที่ เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังไฟป่า 24 ชม. พร้อมประสานกรมชลประทานปล่อยน้ำทำนาปรัง เพื่อลดการเผาและปัญหาฝุ่นรับหน้าร้อน

เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 3 มี.ค. 2568 ที่ศาลากลาง จ.ขอนแก่น นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เปิดเผยว่า จังหวัดยังคงเดินหน้าป้องกันและแก้ไข รวมทั้งรับมือกับภาวะฝุ่น PM 2.5 อย่างเต็มที่และต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ภาพรวมทั้ง 26 อำเภอของจังหวัดสามารถจับกุมผู้ที่ลักลอบเผา รวม 323 คดี ในจำนวนนี้จับกุมผู้ต้องหามาดำเนินคดีแล้ว 54 ราย ซึ่งถือเป็นมาตรการที่เข้มงวด ดำเนินการร่วมกันทั้งจังหวัดควบคู่กับการชำระล้างสิ่งปฎิกูล ตามท้องถนนและพื้นที่ต่างๆ ซึ่งทุกอำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้เปิดปฎิบัติการล้างทำความสะอาดอย่างต่อเนื่องทุกวัน จนทำให้ปริมาณค่าฝุ่นในเขต จ.ขอนแก่นเบาบางลงอย่างมาก

“ขณะนี้เข้าสู่ช่วงฤดูร้อนอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งหลายพื้นที่มีลมกรรโชกแรงและมีพายุฝน ซึ่งส่งผลให้สถานการณ์ฝุ่นของจังหวัดนั้นเบาบางลง อีกทั้งจากการติดตามจุดที่เกิดความร้อนหรือเกิดการเผาไหม้ พบว่าเบาบางลงและพื้นที่เดิมที่เคยเป็นจุดเสี่ยงหรือเกิดการไฟไหม้ซ้ำซากก็ลดน้อยลง ซึ่งแสดงให้เห็นความร่วมมือร่วมใจของคนขอนแก่นในการร่วมกันแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ตามที่จังหวัดและรัฐบาลได้กำหนดมาตรการเข้มงวดตลอดทั้งช่วงที่ผ่านมา” ผู้ว่าฯ ขอนแก่นกล่าว

ผู้ว่าฯ ขอนแก่น กล่าวอีกว่า ชาวไร่อ้อยให้ความร่วมมืองดการเผา ซึ่งมีเจ้าของบางรายที่มาแสดงตัวว่าไม่ได้ หรือกระทำการให้เกิดไฟไหม้ซึ่งก็อาจจะเกิดจากการลุกไหม้เองจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่ช่วยกันเฝ้าระวังป้องกันและรับมือกับการเกิดเพลิงไหม้และไฟไหม้ในพื้นที่ป่า หรือพื้นที่ต่างๆ เกิดขึ้น เช่นเดียวกันกับพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติหรือพื้นที่เชิงเขาที่มีการทำแนวกันไฟและจัดเวรยามเฝ้าระวังไฟป่า ซึ่งผลการปฎิบัติพบว่ามีปริมาณไฟป่าเกิดขึ้นน้อยมาก อีกทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ประสานงานร่วมกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือฝ่ายท้องถิ่นเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดตลอดทั้ง 24 ชม.อย่างไรก็ตามจังหวัดได้ประสานงานร่วมกรมชลประทานในการพิจารณาปล่อยน้ำในเขตชลประทานเพื่อทำนาปรัง เนื่องจากหลายพื้นที่มีตอซังและฟางข้าว ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้และการเผา ดังนั้นเมื่อเกษตรกรได้รับน้ำก็จะเห็นว่าขณะนี้เริ่มมีการปล่อยน้ำเข้านาให้กลายเป็นปุ๋ยและเข้าสู่ขั้นตอนของการทำนาปรังกันแล้ว