สังคม

ตร.ไซเบอร์ จับหนุ่มจีน-กิ๊กสาวชาวไทย หลอกลงทุนคริปโต รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 30 ล้าน

โดย passamon_a

24 ก.พ. 2568

231 views

เมื่อวันที่ 23 ก.พ.68 พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ตำรวจไซเบอร์ แถลงข่าวปฏิบัติการ EXIT SCAM จับกุมหนุ่มจีน วัย 34 ปี และสาวไทย วัย 21 ปี มีพฤติการณ์กินหรูอยู่สบาย แต่เอี่ยวฟอกเงินในขบวนการหลอกลงทุนคริปโต รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย มาสอบปากคำที่ห้องพนักงานสอบสวนตำรวจไซเบอร์ ซึ่ง พล.ต.ท.ไตรรงค์ สอบปากคำด้วยตนเอง


คดีนี้สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ของตำรวจ ว่า ถูกคนร้ายหลอกให้โอนเงินเพื่อลงทุนในเงินสกุลดิจิตอล Cryptocurrency โดยมีบุคคลใช้ภาพโปรไฟล์หน้าตาดีติดต่อมาทางสังคมออนไลน์ และชักชวนให้ลงทุนผ่าน neccorpo.site อ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนที่สูง ซึ่งคนร้ายได้ชักจูงผู้เสียหายด้วยการให้ผลกำไรจริงในการลงทุนช่วงแรก แต่หลังจากนั้นเมื่อลงทุนสูงขึ้นเรื่อย ๆ ก็ไม่สามารถถอนเงินได้ สูญเงินกว่า 2 ล้านบาท


จากการรวบรวมพยานหลักฐานและสืบสวน สามารถออกหมายจับผู้ต้องหาได้ 2 ราย เป็นชายจีน 1 ราย และหญิงไทย 1 ราย ซึ่งพบว่าทั้งสองคนนี้มีความเชื่อมโยงกับคดีหลอกลวงทางออนไลน์อื่น ๆ ในลักษณะแผนประทุษกรรมจากเว็บเดียวกันอีก 28 คดี รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ต้องหาทั้งสองคนมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว โดยฝ่ายหญิงมีอาชีพขายสินค้าย่านประตูน้ำ ส่วนฝ่ายชายชาวจีนซึ่งมีภรรยาและครอบครัวอยู่แล้ว ได้มาพบรักกับหญิงชาวไทยรายนี้ จนถึงขนาดให้ฝ่ายหญิงเปิดบัญชีคริปโตให้ชายชาวจีนใช้ และร่วมกันเปิดร้านขายรองเท้าในย่านเยาวราช ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ผลประกอบการร้านรองเท้าของทั้งคู่ไม่ค่อยดีนัก แต่ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ขับรถหรู ใช้สินค้าแบรนด์เนม และสะสมตุ๊กตา Bearbrick 30 ตัว


ต่อมาวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ตำรวจไซเบอร์ได้เปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมาย 5 จุด เป็นคอนโดในเขตยานนาวา 2 จุด คอนโดในเขตคลองสาน 1 จุด ร้านขายรองเท้าย่านเยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ 1 จุด และบ้านพักหลังหนึ่งใน ต.พันท้ายนรสิงห์ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร


โดยการตรวจค้นครั้งนี้สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา 2 ราย ได้แก่ นายเชา สัญชาติจีน อายุ 34 ปี และ น.ส.นริศรา สัญชาติไทย อายุ 21 ปี โดยจับได้ที่คอนโดย่านยานนาวา พร้อมตรวจยึดของกลางและทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง เช่น ตุ๊กตา Bearbrick 30 ตัว โทรศัพท์มือถือ 11 เครื่อง รถยนต์ BMW รุ่น X-1 1 คัน รถยนต์ Toyota รุ่น Alphard 1 คัน สัญญาปล่อยเช่าคอนโด 1 ฉบับ โฉนดคอนโด 1 ฉบับ หนังสือพาสปอร์ต 6 เล่ม ตู้เซฟนิรภัย 1 ตู้ และสินค้าแบรนด์เนมจำนวนมาก รวมมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท


สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 2 รายนั้น มีพฤติการณ์เป็นกลุ่มผู้บริหารจัดการเงินของแก๊งสแกมเมอร์ และเชื่อว่าเป็นผู้ฟอกเงินในขบวนการดังกล่าว รวมทั้งยังพบข้อมูลในโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาทั้งสอง มีข้อมูลสลิปโอนเงินกว่า 5,000 รายการในเวลาไม่ถึงปี ยอดการโอนแต่ละครั้งตั้งแต่ 1-5 แสนบาท คาดว่า ขบวนการดังกล่าวมีเงินหมุนเวียนหมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ในระหว่างการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม


ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ สมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้กระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้สมคบกัน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ


พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า คดีนี้มีลักษณะแผนประทุษกรรมเป็น Hybrid Scam เพื่อทักผ่านโซเชียลมีเดีย หลอกลวงผู้เสียหายให้มีความสัมพันธ์และหลงเชื่อ ก่อนชักชวนลงทุนผ่านแอปพลิเคชั่นหรือเว็บลงทุนปลอมที่คนร้ายสร้างขึ้นมา โดยผู้ต้องหาทั้งสองนี้ เชื่อว่าเป็นหนึ่งในขบวนการของเว็บไซต์ดังกล่าวอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ดังกล่าวถึง 28 คดีแล้ว ยังพบเส้นเงินหลายเส้นที่เชื่อมโยงกับเว็บดังกล่าว


ทั้งนี้พบว่า เว็บดังกล่าวนั้นเปิดมาได้ไม่ถึงปี และในส่วนของนายเชา ผู้ต้องหาชาวจีนนั้น พบว่าเดินทางเข้ามาในประเทศไทยมานานถึง 3-4 ปีแล้ว และมักจะเดินทางเข้า ๆ ออก ๆ ไปยังประเทศจีนและประเทศกัมพูชาบ่อยครั้ง จึงเชื่อว่านายเชามีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และกลุ่มจีนสีเทา


อย่างไรก็ตาม ทางตำรวจต้องสืบสวนขยายผลต่อว่า ผู้ต้องหาทั้งสองคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างเว็บและเป็น Admin ที่ทักไปหาผู้เสียหายหรือไม่ รวมทั้งเส้นทางการเงินว่า ไปถึงใครบ้าง เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งสองให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา


จึงขอฝากเตือนพี่น้องประชาชนว่า อย่าหลงเชื่อการลงทุนผ่านเว็บไซต์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือเว็บไซต์ที่มีชื่อเว็บแปลก ๆ ให้ลงทุนผ่านเว็บไซต์หรือ Application ที่ได้รับรองจาก กลต. รวมถึงอย่าหลงเชื่อบุคคลแปลกหน้าที่ทักมาเพื่อหลอกมีความสัมพันธ์ ก่อนจะกลายเป็นการหลอกลวงแบบ Hybrid Scam ในภายหลัง


พล.ต.ท.ไตรรงค์ ยังได้เปิดเผยเพิ่มเติมอีกว่า ขณะนี้สถิติการแจ้งความในคดีอาชญากรรมตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 จนถึงเดือนมกราคม 2568 ลดลงอย่างมาก จากแต่เดิมเฉลี่ยวันละ 1,200 คดีต่อวัน ลดลงเหลือแค่ไม่ถึงพันคดีต่อวัน จึงเชื่อว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเปิดปฏิบัติการกวาดล้างแก๊ง Call Center ในหลายพื้นที่ ทำให้ผู้เสียหายลดลงอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ยังพบว่ามีคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในส่วนของการหลอกขายสินค้าและบริการที่ไม่ได้ทำเป็นขบวนการเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทางตำรวจไซเบอร์และตำรวจทุกหน่วยงานจะเร่งกวาดล้างจับกุมกลุ่มผู้ขายของออนไลน์ที่มีลักษณะของการหลอกลวงต่อไป


รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/17WuNIEfepc

คุณอาจสนใจ

Related News