สังคม

สอบ 'บอสพอล-โค้ชแล็ป' ในเรือนจำ 'ทนาย' เตรียมปิดวาจา แย้มสัปดาห์หน้ามีบิ๊กเซอร์ไพรส์

โดย passamon_a

7 พ.ย. 2567

25 views

ตำรวจสอบ บอสพอล-โค้ชแล็ป บอสดิไอคอนกรุ๊ป ในเรือนจำ ด้าน ทนายบอสพอล เปิดใจครั้งสุดท้าย ก่อนเตรียมปิดวาจา แย้มสัปดาห์หน้ามีบิ๊กเซอร์ไพรส์


เมื่อวันที่ 6 พ.ย.67 ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางออกมา เปิดเผยความคืบหน้าคดีดิไอคอนกรุ๊ป ว่าได้ส่งพนักงานสอบสวนกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ไปภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยเข้าไปสอบในประเด็นเรื่องคลิปเสียงเทวดา โดยได้สอบอยู่หลายบอส สอบประมาณ 4-5 ปาก และการสอบปากคำในครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีมาก


ซึ่งจากการสอบปากคำเหล่าบอส ทำให้พนักงานสอบสวนตรวจเจอเส้นทางการเงินของบอสไปถึงแม่ของนักการเมือง ส. อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เป็นเงินจำนวน 6-7 แสนกว่าบาท ที่อ้างว่าเป็นเงินทำบุญ ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีของแม่ นักการเมือง ส. เพียงไม่กี่นาที ก็ถูกโอนไปยังบุคคลใกล้ชิดของนักการเมือง ส. ซึ่งตรงนี้ก็ยังเป็นที่น่าสงสัย ซึ่งจะมีการเรียกตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้ามาสอบปากคำ รวมถึงแม่ของนักการเมือง ส. โดยเรื่องนี้ไม่สามารถสรุปได้จะต้องรอทางพนักงานสอบสวนตรวจสอบให้แน่ชัดและชัดเจนในเรื่องนี้ก่อน และจะต้องมีการสอบปากคำบอสพอล ในเรื่องนี้เพิ่มเติมอีกด้วย เพราะในวันนี้ยังไม่ได้มีการสอบปากคำบอสพอลแต่อย่างใด


ส่วนกรณีที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน พาผู้เสียหายมาแจ้งความที่ บก.ปปป. จำนวน 10 ราย และมีการเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 7.5 ล้านบาท แลกกับไม่ดำเนินคดีกับบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ที่ได้นำเสนอข่าวไปก่อนหน้านั้น


พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ระบุว่า เรื่องดังกล่าวจากการสอบถามบอสพอลกับทนายเรื่องนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป กรณีนี้จะต้องให้ทางพนักงานสอบสวนสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียดอีกครั้งนึง โดยช่วงบ่ายของวันนี้ (7 พ.ย.) จะมีการประชุมเพื่อเร่งทำคดีดังกล่าว รวมทั้งเรื่องเรียกรับเงินอื่น ๆ ด้วย


พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ยังระบุว่า เชื่อว่าน่าจะเวลาไม่นานในการสรุปข้อหาว่ามีใครกระทำความผิดบ้าง และข้อหาใดบ้าง ส่วนกรณีที่มีประเด็นเรื่องตำรวจกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเข้าไปรีดทรัพย์โค้ดแล็ป ซึ่งจากการตรวจสอบเรื่องนี้พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ยืนยันว่าไม่มีการรีดทรัพย์


เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่านักการเมืองตัวย่อ ส. เป็นนักการเมืองที่มีผู้มีอิทธิพลคอยหนุนหลังเจ้าที่ตำรวจจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ระบุว่า ที่นี่ไม่มีแบล็คเราดำเนินการตามกฎหมายผิดก็ว่าไปตามผิด


ส่วนกรณีที่ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม บอกว่า ทนายตั้มมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงสูติบัตร และปลอมแปลงบัตรประชาชนในคดี TOT ซึ่งเรื่องนี้มีตำรวจชั้นผู้ใหญ่อักษรย่อ “ต” รู้เรื่องนี้ดี


พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ระบุว่า เรื่องนี้ตนไม่ทราบ และไม่รู้ว่าตำรวจยศสูง “ต” นั้นเป็นใคร แต่น่าจะไม่ใช่หมายถึงตนเอง เพราะในนี้ตำรวจตัวย่อ “ต” ก็มีหลายคน แต่ถ้าหากจะเดินทางมาร้องเรียนก็สามารถมาร้องเรียนได้ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์กองบัญชาตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งจะตรวจสอบก่อนว่าเรื่องนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่ถ้าหากมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องตนก็จะลงมาดูแลในเรื่องนี้ด้วยตนเอง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เวลา 10.00 น. พนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้เข้าสอบปากคำ นายวรัตน์พล วรัทน์วรกุล หรือ บอสพอล และ นายจิระวัฒน์ แสงภักดี หรือ โค้ชแล็ป ผู้ต้องหาในคดี The iCon โดยพบว่าใช้เวลาสอบกว่า 5 ชม. ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเดินทางกลับ


ขณะที่มีรายงานข่าวว่า เมื่อวันที่ 6 พ.ย.67 เป็นการสอบปากคำบอสพอล ใน 3 ประเด็น ประเด็นแรก กรณีนักร้องเรียนหญิง ก. กรณีเรียกรับเงิน ประเด็นที่สอง การเอาผิด นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด และประเด็นที่สาม กรณีทนายตั้มที่มีการเรียกเงินแลกกับการไม่พากลุ่มผู้เสียหายในคดีดิไอคอนไปออกรายการถึงแม้ว่ากรณีนี้จะยังไม่มีการรับเงิน แม้ประเด็นดังกล่าวจะยังไม่มีการดำเนินคดี แต่เมื่อมีการร้องทุกข์ทางตำรวจจำเป็นต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง


นอกจากบอสพอลที่ตำรวจสอบปากคำ ตำรวจได้สอบปากคำโค้ชแล็ป กรณีที่ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานมูลนิธิชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม อ้างว่ามีบุคคลแอบอ้างเป็นตำรวจกองปราบปรามเรียกรับเงินจำนวน 9 ล้านบาท จากบอสแล็ป และจากการสอบปากคำโค้ชแล็ป ให้การยืนยันไม่เคยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบ มาข่มขู่เรียกเงิน 9 ล้านบาท ตามที่นายอัจฉริยะอ้าง และโค้ชแล็ปยังให้การยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนเรียกให้นายอัจฉริยะ เข้าไปพบในเรือนจำ เป็นการเข้าไปของนายอัจฉริยะเอง แต่ยอมรับว่ามีการพูดคุยกันจริง เนื่องจากนายอัจฉริยะพยายามเสนอตัวขอเข้ามาเป็นทีมทนายความช่วยดูแลคดี แต่โค้ชแล็ป ได้ปฏิเสธกลับไป


ต่อมาเวลา 15.00 น. นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของผู้ต้องหา เปิดเผยหลังการสอบปากคำว่า กรณีที่ตำรวจสอบสวนกลางเข้าไปสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ก็ให้การไปตามความจริง แต่ไม่ทราบว่า เป็นประเด็นอะไรบ้าง ซึ่งมีทั้งประเด็นนักร้องเรียนหญิง ก. และกรณีที่นายอัจฉริยะ กล่าวอ้างว่า มีตำรวจเรียกรับเงิน 9 ล้านบาท


นายวิฑูรย์ ยังบอกว่า บอสพอลไม่ได้มีการสั่งการ ให้มาดำเนินการอะไรเป็นพิเศษ แต่หลังจากนี้จะให้สัมภาษณ์เป็นครั้งสุดท้าย และพยายามจะพูดให้น้อยลง เนื่องจากเป็นความต้องการของผู้ต้องหา และเป็นกลยุทธ์ทางคดี พร้อมยืนยันว่า ไม่ได้ถูกกดดัน ไม่ได้เริ่มแต่เนื่องจากที่ผ่านมายังไม่ได้เริ่ม การทำงานทางคดีทำให้งานล่าช้า จึงจะใช้เวลาไปเตรียม พยานหลักฐาน และรายละเอียดทางสำนวนคดี เพื่อต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ เพราะหากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เข้ามาแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม จะได้มีความพร้อมในเอกสารคำให้การ ซึ่งจนถึงขณะนี้ทาง DSI ยังไม่ได้มีการประสาน เข้ามาเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาแชร์ลูกโซ่ และพ.ร.บ.ขายตรง


ส่วนกระแสข่าวที่ว่า DSI จะเข้ามาแจ้งข้อกล่าวหาในวันพรุ่งนี้ (8 พ.ย.67) ตนยังไม่ทราบเช่นกัน เพราะยังไม่ได้รับการประสานมา ซึ่งหาก DSI จะมาแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งหากมาในวันนี้ (8 พ.ย.67) จริง ขอให้ประสานมาก่อน ไม่ใช่เข้ามาแจ้งข้อกล่าวหาโดยไม่แจ้งทนายความ แบบนี้ตนก็ไม่เอาด้วย ทั้งนี้ หากเป็นการแจ้งข้อกล่าวหา ก็พร้อม แต่หากจะให้มีการสอบปากคำคงยังไม่พร้อม เนื่องด้วยสภาพภายในเรือนจำที่มีห้องสอบสวนเพียงห้องเดียว


นายวิฑูรย์ ยังบอกว่า ขณะนี้บอสพอล ทราบแล้วว่า DSI เตรียมแจ้งข้อกล่าวหาแชร์ลูกโซ่ ซึ่งบอสพอไม่ได้มีท่าทีกังวลอะไร และเตรียมสู้คดี ไม่ได้มีการฝากอะไรมาเป็นพิเศษ ให้เป็นหน้าที่ของตนเองในการต่อสู้คดี โดยตนเองได้รายงานความคืบ หน้า การ เตรียมพยานแก้ข้อกล่าวหากว่า 2,400 คน และมีการยืนยันตัวตนแล้ว 1,500 คน  รวมถึงพยานผู้เชี่ยววชาญ อีก 1 คน ส่วนพยานที่เป็นบริษัทผลิตสินค้าจะทำคำให้การเป็นเอกสาร มายืนให้กับดีเอสไอ


พร้อมยอมรับว่า พยานผู้เชี่ยวชาญคนดังกล่าว จะเป็นบิ๊ก เซอร์ไพรส์ สำหรับการแก้ข้อกล่าวหาในคดีนี้ เพราะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายพรก. กู้ยืมเงินว่าด้วยการฉ้อโกงประชาชน หรือ แชร์ลูกโซ่ และเคยทำเรื่องแชร์ลูกโซ่มาแล้วหลายเรื่อง ซึ่งมีความเชี่ยววชาญด้านกฎหมายมาเป็น 10 ปี และเชื่อว่า จะให้ความรู้ และแง่คิดทางกฎหมาย ที่มีประโยชน์ต่อคดี ซึ่งจะทำให้ DSI เห็นอีกมุมหนึ่ง แบบที่ไม่ใช่การถูกกล่าวหาซึ่งความพร้อมในการแก้ข้อกล่าวหาใช้ลูกโซ่ขณะนี้เตรียมพยานหลักฐานได้ในระดับหนึ่งแล้ว


นายวิฑูรย์ ยังกล่าวถึงการจัดทำบัญชีพยานที่จะต้องนำส่งให้กับ DSI เพื่อนำพยานของผู้ต้องหาในคดีเข้าให้ปากคำด้วยว่า ขณะนี้ที่ DSI ยังไม่ได้นัดหมายสอบปากคำ มองว่า DSI น่าจะยังอ่านรายละเอียดของสำนวนไม่ครบถ้วน จึงยังไม่สามารถตั้งประเด็นในการสอบสวนได้ ซึ่งขณะนี้ทำบัญชีพยานไปแล้ว 1,500 คน และมีการจัดกลุ่มพยาน แบ่งเป็นตามระดับของตัวแทน และจัดกลุ่มขายสินค้า ทั้งขายปลีกขายส่ง และขายออนไลน์


ซึ่งตัวเองก็เตรียมจะยื่นบัญชีพยานและยืนยันว่า DSI จะต้องสอบปากคำพยานทุกคน เพราะมองว่า เมื่อมีการสอบปากคำผู้เสียหายทุกคน เช่นเดียวกับพยานฝั่งผู้ต้องหา ที่ต้องการจะให้ปากคำทุกคน จะโยนให้กลับทนายไปทำสรุปคำให้การกว่า 2,000 คน ไม่ได้ เพราะต้องให้ความเป็นธรรมให้กับฝั่งผู้ต้องหาด้วย


"จะบอกว่าเดี๋ยวคดีล่าช้า ผู้เสียหายเสียประโยชน์ แต่ถ้าคดีไม่เรียบร้อย คดีไม่ได้รับความเป็นธรรมผู้ต้องหาก็เสียประโยชน์เหมือนกัน เพราะนี่คือชีวิตของคนทั้งชีวิต ถ้าเขาแพ้คดีเขาติดตุก เขาเสียอิสระภาพ ซึ่งตอนนี้เขายังเป็นผู้บริสุทธิ์ เว้นแต่ดีเอสไอ จะมองว่ามีธงในใจว่าจะเอามันก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ผมมั่นใจว่าดีเอสไอคงไม่มองขนาดนั้นคงจะมีความเป็นธรรมและความเป็นกลางสูง พยานทุกคนที่นำเสนอจะต้องสอบทุกคนจะมาปิดปาก แล้วส่งอัยการเลยก็ไม่จบ ก็ต้องไปร้องขอความเป็นธรรมวุ่นวายช้าไปอีก"


พร้อมยืนยันว่า การให้สอบพยานทุกคนไม่ได้เป็นการข่มขู่ เพราะป็นการเอาพยานไปเสนอให้สอบสวน เพราะคดีอื่นทั่วไปยังเอาพยานทั้งฝั่งเลย แล้วพอคดีดิไอคอนที่เป็นคดีสำคัญก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับฝั่งผู้ต้องหาด้วย แม้ว่าคดีความเรื่องความยุติธรรมต้องเป็นไปด้วยความรวดเร็ว แต่ความรวดเร็วแบบชุ่ย ๆ ก็ไม่ควรมี


ส่วนจะเริ่มสอบปากคำได้เมื่อไรนั้นตนเองไม่ทราบ ทั้งนี้หากให้การได้ช้า อาจจะเพราะต้องสอบเยอะ แต่ก็มองว่ามีวิธีแก้ปัญหาเพราะดีเอสไอมี 10 ภาคสามารถแบ่งไปในทุกภาคในการช่วยสอบปากคำได้ ซึ่งตนเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าจะทันกรอบระยะเวลาฝากขัง 84 วันหรือไม่นั้น ซึ่งหากไม่ทันก็คงต้องปล่อยตัว แต่ถ้าจะมาตัดพยานตนเองคงไม่ยอม


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/5McigG1-cyY

คุณอาจสนใจ

Related News