สังคม
ฉาวโฉ่! แก๊งสีกากี มี พ.ต.ท.เป็นหัวหน้า อุ้ม-รีดทรัพย์ ต่างชาติ 300 ล้าน ยัดข้อหาพาสปอร์ตเก๊
โดย nattachat_c
1 พ.ย. 2567
305 views
วานนี้ (31 ต.ค. 67) มีรายงานข่าวว่า มีแก๊งตำรวจ-พลเรือน รีดทรัพย์ต่างชาติ 300 ล้านบาท โดยยัดข้อหา 'พาสปอร์ตเก๊'
โดยทั้งแก๊งมีจำนวนคน 12 คน เป็นตำรวจ 9 นาย พลเรือน 3 คน มีรายชื่อ ดังนี้
1. พ.ต.ท.ชนะชัย ใจกล้า (ถูกจับกุม)
2. ร.ต.อ.อำนวย คงกลิ่น (ถูกจับกุม)
3. ด.ต.ชยพล วงษ์ปัน (ถูกจับกุม)
4. ด.ต.พรเทพ สังขาระ (ถูกจับกุม)
5. ด.ต.มนัสวี จรรยาลักษณ์ (ถูกจับกุม)
6. ด.ต.สยาม ทองมนต์ (ถูกจับกุม)
7. นายธวุท วันทองสุข (ถูกจับกุม)
8. ร.ต.อ.ธนกฤต กาญจนมาศ (มอบตัว)
9. ด.ต.สุพรรณ ของใส (มอบตัว)
10. จ.ส.ต.กิตติภูมิ (จีนแปลงชาติ) (มอบตัว)
11. น.ส.อภัสรา ซ่อนกลิ่น (ล่ามแปลภาษาจีน) (หลบหนี)
12. นายหยุน ต้าเหลียง (สามีของล่าม) (หลบหนี)
ทั้งนี้ ตอนแรก จับกุมได้ก่อน 7 คน เป็นตำรวจ 6 นาย พลเรือน 1 คน
1. พ.ต.ท.ชนะชัย ใจกล้า อายุ 41 ปี อยู่ สภ.ขามสะแกแสง จ.นครราชสีมา
2. ร.ต.อ.อำนวย คงกลิ่น อายุ 42 ปี อยู่ สภ.สำโรงใต้ จ.สมุทรปราการ
3. ด.ต.ชยพล วงษ์ปัน อายุ 43 ปี อยู่ กก.1 บก.ทท.1 (กองบัญชาการกองทัพไทย)
4. ด.ต.พรเทพ สังขาระ อายุ 46 ปี อยู่ กก.2 บก.ปคบ. (กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค)
5. ด.ต.มนัสวี จรรยาลักษณ์ อายุ 41 ปี อยู่ กก.1 บก.ทท.1 (กองบัญชาการกองทัพไทย)
6. ด.ต.สยาม ทองมนต์ อายุ 49 ปี อยู่ กก.สส. ภจว.สระบุรี
7. นายธวุท วันทองสุข อายุ 43 ปี
เบื้องต้น แจ้งข้อหา เป็นเจ้าพนักงานร่วมกัน เรียกรับ หรือยอมรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบฯ , เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานร่วมกัน เรียกรับ หรือยอมรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบฯ
โดยการจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจาก นายไซ สัญชาติวานูอาตู พร้อมด้วยภรรยา และคนจีน และแม่บ้านรวม 5 คน เข้าร้องทุกข์ต่อตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ว่า ขณะพักอาศัยอยู่ที่บ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์แจ้งว่า เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้แสดงเอกสารอ้างว่าเป็นหมายการเข้าค้นของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ขอเข้าตรวจสอบ ซึ่งผู้เสียหาย และบุคคลภายในบ้าน ไม่สามารถอ่านเขียนภาษาไทย เห็นแต่เอกสารดังกล่าวมีตราครุฑ จึงเชื่อว่าเป็นเอกสารของราชการจริง และยินยอมให้เข้าค้นบ้านพักอาศัยหลังดังกล่าว ผู้ต้องหาได้อ่านหมายและให้ล่ามแปลภาษา คือ น.ส.อภัสรา ซ่อนกลิ่น
โดยในการเข้าตรวจค้นผู้ต้องหากับพวก จนท.ได้ใช้โทรศัพท์มือถือเปิดพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด โดยอ้างว่า มีผู้ต้องหาชาวฟิลิปปินส์จำนวน 4 ราย โดย 1 ใน 4 รายนั้น ได้ให้การซัดทอดว่านายไซ (MR.SAI) มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลอมหนังสือเดินทาง ซึ่งถูกจับและถูกดำเนินคดีต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ไปแล้ว
โดยนายไซ ให้การปฏิเสธว่าไม่เคยความเกี่ยวข้อง ในการเข้าค้นครั้งนี้ ผู้ต้องหาที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมีล่ามแปลภาษาจีนชื่อนางสาวอภัสรา ซ่อนกลิ่น (ชื่อเล่นว่าทราย) กับสามีชาวจีนของล่ามชื่อนายหยุน ต้าเหลียง หรือ MR.YUN DALIANG
จากนั้น กลุ่มผู้ต้องหาได้ทำการยึดโทรศัพท์มือถือของทุกคนในบ้าน และเครื่องคอมพิวเตอร์ จำนวน 1 เครื่อง เพื่อไปตรวจสอบ
ต่อมา หัวหน้าชุดจับกุมได้แจ้งกับนายไซว่า การจ้างแม่บ้านซึ่งเป็นชาวต่างชาติอยู่ในบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น อาจต้องถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการจ้างแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายอีกกระทง 1 ด้วย ทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัว เพราะไม่ทราบข้อกฎหมายของไทย และเจ้าหน้าที่ตำรวจยังทำการข่มขู่กรรโชกทรัพย์ผู้เสียหาย โดยได้ให้ น.ส.อภัสรา สื่อสารเรียกรับเงิน 300 ล้านบาท หรือ เงินสกุลดิจิทัล จำนวน 10 ล้าน USDT (1USDT เท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 33 บาท) เพื่อแลกกับการจบคดี และไม่ถูกดำเนินคดี
แต่ นายไซแจ้งว่า ไม่มีเงินสกุลไทยมากขนาดนั้น และไม่มีความผิด หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีที่ชุดจับกุมกล่าวอ้าง จึงไม่ตกลงด้วย ชุดจับกุมดังกล่าว จึงควบคุมตัวนายไซ พร้อมภรรยา เพื่อนชาวจีนชื่อเหวิน และแม่บ้าน ขึ้นรถเดินทางมาที่ศูนย์ราชการ อาคารบี โดยระหว่างที่มาถึง ได้ทำการพูดคุยเจรจากันอีกครั้ง เปลี่ยนแปลงยอดเงินเป็น 10 ล้านบาท แต่นายไซไม่ได้ตกลง จนเวลาประมาณ 17.00 น. จึงควบคุมตัวนายไซ และภรรยา ไปยังกก.1 บก.สอท.1 ห้ามไม่ให้เพื่อนชาวจีนชื่อเหวิน และแม่บ้าน เข้าไป มีเพียงนายไซ และภรรยา ที่ถูกสอบปากคำ 2 คน เท่านั้น
ระหว่างที่สอบปากคำมีกลุ่มผู้ต้องหาอยู่ในบริเวณนั้นทั้งหมด พร้อมกับ น.ส.อภัสรา และ นายหยุน ต้าเหลียง โดยได้มีการพูดคุยระหว่างเจ้าหน้าที่เพื่อต่อรองเรียกเงินกับนายไซ จนท้ายที่สุดนายไซได้ยอมโอนเงิน 5 ล้านบาท แต่นายไซ ไม่มีเงินสกุลไทยเพียงพอ จึงโอนเงินสกุลดิจิทัล เข้ากระเป๋าดิจิทัลวอลเล็ตของนางสาวอภัสรา ครั้งที่ 1 เวลา 18.35 นาฬิกา โอนจำนวน 9,253 UDST ครั้งที่ 2 เวลา 18.43 นาฬิกา จำนวน 140,000 UDST
เมื่อได้รับเงินครบถ้วนแล้ว กลุ่มผู้ต้องหาได้จัดทำเอกสาร และให้ผู้ถูกควบคุมทั้ง 4 คน มาถ่ายคลิปวิดีโอ ประกอบการทำสำนวน แล้วแจ้งว่า ตรวจสอบแล้วไม่พบการกระทำความผิดใด ๆ พร้อมทั้งคืนโทรศัพท์มือถือให้แก่ผู้ถูกควบคุมทั้ง 4 คน แต่ไม่ได้คืนคอมพิวเตอร์ให้แก่นายไซ
จากนั้น ต่อมา เมื่อวันที่ 17 ต.ค.67 เวลาประมาณ 13.00 น. นางสาวอภัสรา ได้ประสานกับเพื่อนชาวจีนชื่อนายเหวิน สนทนาผ่านเทเลแกรมของนายไซ ซึ่งขณะนั้นมือถืออยู่ที่นายเหวิน ว่า หากต้องการทราบว่า ผู้ใดเป็นผู้แจ้งให้ชุดจับกุมไปจับตัว ให้นายไซให้ทำการโอนเงินเพิ่มเติมอีก 700,000 บาท นายไซจึงโอนเงินดิจิทัล เข้ากระเป๋านางสาวอภัสรา เวลา 13.39 นาฬิกา จำนวน 20,895 UDST
แต่ภายหลัง ไม่ได้รับการติดต่อจากล่ามอีกเลย ผู้เสียหายซึ่งถูกกลุ่มผู้ต้องหากรรโชกทรัพย์ จึงมอบอำนาจให้ทนายความเข้าร้องเรียนประสานกับเจ้าหน้าที่ กก.1 บก.สอท.1 เพื่อตรวจสอบสาเหตุการเข้าค้น และควบคุมตัวผู้เสียหาย และได้ทราบว่าบุคคลที่มีรายชื่อเป็นผู้ถูกกล่าวหา จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ กก.1บก.สอท.1 จึงมาร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมดให้ได้รับโทษตามกฎหมาย
ต่อมา พล.ต.ต.จิระวัฒน์ พยุงธรรม รรท.ผบช.สอท (ตำรวจไซเบอร์) ทราบเรื่อง จึงได้ประสานข้อมูลกับ
- พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. (กองบัญชาการตำรวจนครบาล)
- พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. (กองบัญชาการตำรวจนครบาล)
เร่งคลี่คลายข้อเท็จจริง พร้อมกับตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังพบว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุมีข้าราชการตำรวจในสังกัดเข้าไปเกี่ยวข้อง ก่อนนำตัวผู้ถูกกล่าวหาเข้าสู่กระบวนการตามขั้นตอนเพื่อสอบปากคำ
โดยก่อนหน้านี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องเข้ามอบตัวแล้ว 3 ราย เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ที่ผ่านมา คือ
1. ร.ต.อ.ธนกฤต กาญจนมาศ กก.1บก.สอท.1 บช.สอท.
2. ด.ต.สุพรรณ ของใส กก.1บก.สอท.1 บช.สอท.
3. จ.ส.ต.กิตติภูมิ จีนแปลงชาติ กก.1บก.สอท.1 บช.สอท.
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/B1Jyn45zKj0