สังคม

ผู้เสียหายร้อง ปคบ.สอบเครือข่ายธุรกิจดัง ส่อเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ แฉกลยุทธ์ เน้นชวนคน ไม่เน้นขายสินค้า

โดย petchpawee_k

11 ต.ค. 2567

29 views

ผู้เสียหาย ร้อง ปคบ. สอบบริษัทขายตรงดัง เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน-แชร์ลูกโซ่หรือไม่ เผย บริษัทขายรายชื่อพร้อมเบอร์โทร 10 ชื่อ 1 หมื่นบาท ให้โทรหาลูกทีมมีสคลิปให้พูด แฉแม่ทีมบางคนเลวร้ายมากบอกให้เอารถเข้าไฟแนนซ์ เอาที่ดิน-บ้านไปจำนองเอาเงินมาลงทุน พร้อมโชว์เอกสารข้อตกลงบริษัทให้ผู้เสียหายบางส่วนไปเซ็นเอกสารปิดปากอ้างเป็นเงินค่าบำรุงขวัญ

วานนี้ (10 ต.ค.) ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบังคับการตำรวจสอบสวนกลางทีมงานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรม ได้พาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเข้าไปร่วมธุรกิจกับบริษัทขายตรงชื่อดัง ซึ่งผู้เสียหายที่มาในวันนี้มีอยู่ประมาณ 20 คน แต่คนที่อยู่ในกลุ่มตอนนี้ประมาณ 500 คน แต่มีบางคนไม่สะดวกที่จะเดินทางมา เพราะอยู่ต่างจังหวัด และบางคนติดธุระส่วนตัว

สาเหตุที่มาในวันนี้เพราะเห็น “บิ๊กต่าย” พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ตั้งคณะทำงานเข้ามาจัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะ จึงพาผู้เสียหายให้ข้อมูลกับตำรวจในประเด็นที่เกิดขึ้นว่าเพราะเหตุใดธุรกิจของบริษัทนี้ทำให้เกิดผลกระทบกับประชาชนจำนวนมาก บางคนขายของก็ไม่ได้ แถมยังชักชวนให้เข้าไปเรียน เข้าร่วมงานอีเวนท์ แล้วยังขายฝันให้จนมีคนเชื่อ แล้วยอมลงทุน

บางคนใช้เงินเกษียณที่เป็นเงินก้อนสุดท้ายมาใช้ในการลงทุน บางคนเงินเก็บหาที่เก็บมาทั้งชีวิตลงทุนจนหมด สุดท้ายกลายเป็นหนี้จนคิดจะฆ่าตัวตาย การเดินทางมาในวันนี้ไม่ใช่การบอกหรือการกล่าวหาว่า สิ่งที่บริษัททำนั้นผิดกฎหมาย แต่เพราะอะไรธุรกิจนี้ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน พร้อมกับมีการโชว์สินค้าของบริษัท แล้วมีการฉีกซองเททิ้งเพื่อเป็นการให้ดูว่าเป็นสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ เนื่องจากเคยลองรับประทานแล้ว

ทางตัวแทนของผู้เสียหายรายหนึ่งได้เปิดเผยถึงบริษัท กล่าวว่า ผู้เสียหายทุกคนจะเห็นธุรกิจของบริษัทนี้ในลักษณะเดียวกัน คือเริ่มจากการเห็นโฆษณาผ่านทางทีวี และโซเชียล โดยธุรกิจนี้จะมีการยิงแอดโฆษณาผ่านทางเฟซบุ๊ก ประกอบกับช่วงเวลานั้นเป็นช่วงหลังโควิด ตัวเองต้องการหาอาชีพเสริมเพื่อหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว เลยสนใจที่จะลงเรียน ซึ่งจะเป็นการเรียนแบบออนไลน์โดยมีค่าใช้จ่ายจำนวน 98 บาท หรือ 99 บาท โดยสองวันแรกจะเป็นการเรียนการสอนเรื่องธุรกิจของบริษัท จากนั้นวันที่สามจะมีแม่ทีมลงมาสอน หากใครสนใจทำธุรกิจก็จะขายฝันว่าเป็นการสร้างรายได้เพิ่ม โดยที่ไม่ต้องสต๊อกของ ไม่ต้องมีสินค้าในมือ มีระบบช่วยเหลือหลังบ้านทั้งหมด

จากนั้นจะมีเสนอให้เรียนคอร์สที่สูงขึ้นในราคา 2,500 บาท ซึ่งคอร์สนี้จะสามารถเรียนรู้ระบบของบริษัทได้มากขึ้นกว่าเดิม จากนั้นจะมีโค้ชนัดมาเรียนที่โรงเรียน เป็นการเรียนในห้อง นอกจากนี้จะมีครูพี่เลี้ยง หรือแม่ทีมมาช่วยประกบ หากเริ่มสนใจจะลงทุนแล้วจะมีคอร์สเรียนที่สูงขึ้นไปอีกในราคา 25,000 บาท โดยในคอร์สนี้ก็จะถูกเกลี้ยกล่อมว่าถ้าหากมาทำธุรกิจจะทำให้มีรายได้เพิ่ม และทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป หากใครสนใจจะมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนจำนวน 250,000 บาท

ตอนแรกยอมรับว่ายังไม่มั่นใจที่จะลงทุน 250,000 บาท แต่พอผ่านไปสักพักได้มีโอกาสร่วมงานประจำเดือนของบริษัท ทั้งอบรม และประชุม พอเริ่มเข้าไปอบรมก็จะมีดารานักแสดงชื่อดังมาพูดจนสร้างความเชื่อมั่นทำให้รู้สึกว่าบริษัทนี้มีระบบรองรับทุกอย่าง ระบบหลังบ้านก็ดี การตลาดก็ดี และสินค้าก็ดี โดยดารานักแสดงชื่อดังจะพบเจอได้ในเฉพาะงานอีเวนท์ ซึ่งจะมีค่าบัตรเข้าร่วมงานจำนวน 1,500 บาท เท่าที่เห็นจะมีจำนวน 3 คนด้วยกัน ซึ่ง 3 คนนี้ เท่าที่ได้ยินมาไม่ใช่แค่เป็นพรีเซนเตอร์ แต่เป็นถึงระดับผู้บริหารที่คนจะเรียกกันว่า “บอส”

พอเริ่มสนใจในการจะลงทุนธุรกิจ แต่ตอนแรกเงินมีไม่พอ บัตรเครดิตก็มีไม่พอ จนมีแม่ทีมเป็นคนแนะนำให้ขยายวงเงินในบัตรเครดิต พร้อมแนะนำให้โทรไปหาธนาคารเพื่อขยายวงเงิน ประกอบในตอนนั้นแม่ทีมมีการขายฝันว่าส่วนแบ่งและผลกำไรจะได้ยังไงบ้างตามที่แม่ทีมบอก จึงทำให้ตัดสินใจเข้าไปลงทุน โดยใช้เงินเก็บทุกบาทในชีวิตพร้อมกับเงินในบัตรเครดิตจนตอนนั้นไม่เหลือแม้แต่เงินจะกินข้าว

พอหลังจากลงทุนไปแล้วกลับกลายเป็นว่า ไม่ใช่การขายของเหมือนกับการที่ถูกขายฝันเอาไว้ แต่เป็นให้เราไปโฆษณาในโซเชียลเหมือนกับที่เคยเจอตอนแรก ด้วยการยิงแอดโฆษณาลงในเฟซบุ๊ก เพื่อเป็นการขายสินค้าเหมือนกับที่ตัวเองนั้นได้ซื้อมา ซึ่งการโฆษณาทางบริษัทก็จะมีสคริปให้พูดทุกอย่าง หากสามารถหาดีลเลอร์ หรือลูกค้ามาได้ ก็จะได้เปอร์เซ็นต์จากการหาคนมาสมัครต่อหัว ซึ่งเปอร์เซ็นต์แล้วแต่สินค้าตัวนั้นๆ

แต่สุดท้ายเริ่มมาเอะใจ เพราะหลังจากที่เริ่มเรียนไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกได้ว่าไม่ชอบมาพากล สุดท้ายก็ไม่ได้สอนให้ขายของแต่ สอนให้หาคนมากระจายสินค้าด้วยการยิงแอดโฆษณาหาดีลเลอร์มาลงทุนแบบตัวเอง ซึ่งในตอนนั้นแม้จะไม่มีเงินในการยิงแอดโฆษณา แม่ทีมมีการแนะนำให้เอารถไปรีไฟแนนซ์เพื่อนำเงินมายิงแอดโฆษณาหาลูกค้าคนอื่น หานักเรียนคนอื่นเข้ามาเรียน ทั้งแนะนำให้มีการชวนเพื่อน มีเบอร์คนไหนก็ให้โทรชวนคนนั้น จนตอนนี้ต้องเป็นหนี้บัตรเครดิต เงินที่ใช้ไปลงทุนก็ไม่เคยเห็นผล เช่นเดียวกับผู้เสียหายรายอื่น ๆ ก็เสียเงินหลักแสนบาทเพื่อเข้าร่วมลงทุนกับบริษัทดังกล่าวในลักษณะแบบเดียวกันอยากให้มีการควบคุมเรื่องการทำธุรกิจขายตรงผ่านออนไลน์

นอกจากนี้ยังมีผู้เสียหายอีกรายหนึ่ง เผยว่า ทีแรกตนเองลงทุน 25,000 บาท ในตำแหน่งซุปเปอร์ไวเซอร์ หลังจากนั้นโค้ชจะโทรหาตนทุกวันให้เข้าเรียน จะมีบอสเข้ามาคุยผ่านซูมว่าถ้าหากอยากได้กำไรให้ลงเป็นดีลเลอร์แล้วหาลูกทีม ซึ่งดีลเลอร์ต้องจ่ายเงิน 250,000 บาท ตนมองว่ามันคือธุรกิจจึงตัดสินใจลงทุนไป ซึ่งตนต้องทำการยิงแอดเพื่อหาคนมาต่อเรา

หลังจากที่ตนเองนำเงินไปลงทุนทำธุรกิจกับบริษัทดังกล่าวแล้ว เป็นดีลเลอร์หรือแม่ข่าย ต้องหาลูกทีม โดยทางบริษัทบอกว่าถ้าหาลูกทีมได้เอะก็จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ความรู้สึกของตนมันคืการทำธุรกิจ แต่พอไปทำจริง ๆ แล้ว การสอนของเขาก็เบสิค รวดเร็ว ไม่สามารถเอาไปทำจริงได้ ส่วนคนที่ทำหน้าที่โค้ชจะบอกว่าไม่ต้องไปเรียนหรอกเอาเงินมาให้เดี๋ยวบริษัทจะยิงแอดให้ ตอนแรกไมมีแอด ทางบริษัทจะนำรายชื่อ 10 รายชื่อ 10,000 บาท เป็นรายชื่อที่มีเบอร์โทรเพื่อให้โทรหาลูกทีมเอง แต่พอโทรไปบางคนไม่รับสาย  รายชื่อทั้งหมดมาจากที่บอสหลายคนไปออกรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับการทำธุรกิจมีคนโทรเข้าสนใจอยากทำธุกิจด้วยเขาก็รายชื่อและเบอร์โทรเหล่านั้นมาขายให้ ส่วนใหญ่ที่นตนโทรไปไม่ได้ลูกทีมสักคนเลย ส่วนการพูดชักชวนเขาจะมีสคลิปให้พูด  

ตอนนี้ตนมีลูกทีม 2 คน เป็นญาติของตนเอง นำเงินมาลงทุนคนละ  250,000 บาท เช่นกัน สินค้าที่นำมาขายก็ขายไม่ได้ รู้สึกเสียใจมากไม่น่าพาญาติมาร่วมลงทุนด้วยเลย ตนมองว่าวิธีการดำเนินการของบอสหรือบริษัทไม่ถูกต้องแม้เขาจะบอกว่าถูกต้องก็ตาม หลังลงทุนจ่ายเงินแล้วเขาบอกจะช่วยพวกเรา เมื่อไม่มีเงินไปยิงแอดหาลูกทีมไม่ได้เขาทิ้งเราทันที ตนมาแจ้งความเพราะไม่อยากให้ใครโดนแบบนี้อีก คนหลงมาทำธุรกิจนี้บางคนเป็นชาวบ้านต่างจังหวัดไม่มีเงิน แม่ทีมบางคนบอกให้เอารถไปเข้าไฟแนนซ์ เอาที่ดินเอาบ้านไปจำนอง  เลวร้ายมาก บอสจะมาบอกว่าไม่รู้เรื่องเป็นไปไม่ได้ เพราะเวลาคุยกัยผ่านซูม บอสจะบอกว่าไปเรียกพี่ๆ น้องๆ มาทั้งตำบลเลย เรียกมาฟังให้หมดทั้งหมู่บ้าน

ขณะที่ทนายความประจำมูลนิธิรณรงค์ทวงความยุติธรรมในสังคม บอกว่า พาผู้เสียหายมาให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน เพื่อให้ตรวจสอบว่าบริษัทนี้เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนและผิดฐานแชร์ลูกโซ่ ตามพระราชกำหนดกู้ยืมที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน 2527 มีความผิดในเรื่องการโฆษณาเกินความเป็นจริงและเป็นเท็จ ตาม พรบ.คุ้มครองผู้บริโภค 2522 หรือไม่ และต่อมาคือผิด พรบ.ขายตรงและการตลาดแบบตรง 2445 หรือไม่ นอกจากนั้นก็อาจมีมีความผิด พรบ.คอมพิวเตอร์ 2560 มาตรา 14 เรื่องนำเข้าข้อมูลบิดเบือนและอันเป็นเท็จหรือไม่

โดย นายรภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน รองประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ได้โชว์เอกสารข้อตกลงที่ทางบริษัททำไว้กับผู้เสียหาย โดยอ้างว่าเป็นเงินค่าบำรุงขวัญ ให้ผู้เสียหายบางส่วนไปเซ็นเอกสารปิดปาก จ่ายเงินให้ครึ่งหนึ่งจากเงินลงทุนที่เสียไป ทำให้จะเห็นว่าผู้เสียหายบางส่วนไม่กล้ามาแจ้งความ หวั่นจะถูกดำเนินคดีคดี เรื่องนี้เป็นอาญาแผ่นดินไม่สามารถยอมความได้ พร้อมฝากประชาสัมพันธ์ให้ ผู้เสียหายไม่ต้องกลัวให้เข้ามาแจ้งความและให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน

ส่วนก่อนหน้านี้ที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค มีการพิจารณาว่าบริษัทดังกล่าวไม่เข้าข่าย กระทำความผิดกฎหมายมองว่าเรื่องนี้ต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เนื่องจากการทำธุรกิจของบริษัทดังกล่าว มีหลากหลายรูปแบบ ดังนั้นการตีความข้อกฎหมายมีทั้งส่วนที่เสียผลประโยชน์และได้ประโยชน์ และอาจมีการเลี่ยงบาลีในการตีความ จึงอยากให้ผู้เสียหายเข้ามาให้ข้อมูลให้ได้มากที่สุด
-----------------------------------

‘ทนายเดชา’พาผู้เสียหายจากบริษัทชื่อดัง แจ้งความที่ บก.ปคบ.ว่าเป็นการดำเนินธุรกิจแชร์ลูกโซ่หรือไม่ พร้อมเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ฝากถึง ‘แซม ยุรนันท์’ ชี้คดีนี้มีโอกาสสูงดาราถูกดำเนินคดี แม่ข่ายขอให้มาเป็นพยาน-แจ้งความ หากไม่มาส่อสมรู้ร่วมคิด เผย ผู้เสียหายพุ่ง 500 คน แฉพฤติกรรมดาราคนดัง 3 กลุ่ม ลั่น! ถ้าบริสุทธิ์จริงก็ตั้งโต๊ะแถลง ผู้เสียหายไหว้วิงวอนบอสจะโลภมากไปถึงไหน

วานนี้ (10 ต.ค.) เวลา 10.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง "ทนายเดชา" เดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ พร้อมด้วย น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง และนายแทนคุณ จิตต์อิสระ พาผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากการลงทุนกับบริษัท The icon group กว่า 10 ราย มาแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ บก.ปคบ.

ข้อมูลล่าสุดมีผู้เสียหายที่มาร้องทนายเดชา แล้วมากกว่า 500 คน ส่วนกรณีการนำผู้มีชื่อเสียงมาร่วมงานจากการสอบถามผู้เสียหาย พบว่าดาราที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับบริษัทนี้มี 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือผู้ได้รับมอบอำนาจในการบริหารโดยตรงมี 5-6 คน กลุ่มสองเป็นกลุ่มพรีเซนเตอร์ที่บริษัทจ้างมา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ มีจำนวนหลายคน และกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มที่มีความสัมพันธ์ และถูกเชิญเข้าไปร่วมอีเวนต์ของบริษัท โดยผู้เสียหายยืนยันว่าดารากลุ่มแรกเข้ามาบริหารจริง

ทีมข่าวได้คุยกับผู้เสียหายรายหนึ่ง เจ้าตัวน้ำซึมให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ตนเองเห็นออกรายการทีวีอีกทั้งคนข้างบ้านก็ลงทุนทำธุรกิจกับบริษัทนี้ เพื่อนบอกบริษัทใหญ่เชื่อถือได้ เพื่อนบ้านยังบอกอีกว่าเจ้าตัวมีลูกข่ายเยอะแยก เขาจึงชักชวนลูกชายของตนไปที่บริษัท พอกลับมาบ้านลูกชายมาเล่ารายละเอียดให้ฟังเกี่ยวกับการลงทุน กระทั่งลูกชายตัดสินใจเอาเงินไปลงทุน 250,000 บาท เพื่อเป็นดีลเลอร์และหาลูกทีม สินค้าที่ได้มาเป็นคอลลาเจน ซึ่งขายไม่ได้ ทางบริษัทบอกให้ยิงแอดซึ่งมีค่าใชจ่าย ตนเองให้ลูกชายลองทำดูก่อนหากรายได้ดีเห็นกำไรตนเองก็จะลงทุนด้วยอีกคน ปรากฎว่าไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ยิงแอดก็ขายไม่ได้และไม่มีเงินไปยิงแอดอีก ส่วนเงินที่ลูกชายนำไปลงทุนก็ยืมยายมา หลังเป็นข่าวตนรีบพาลูกชายเดินทางมาที่กองปราบฯ เพื่อแจ้งความ อยากได้เงินคืน นำเงินไปลงทุนไม่เคยได้อะไรเลย มีแต่เสียกับเสีย

ผู้เสียหายรายนี้ ยังได้ยกมือไหว้แล้วพูดว่า “อย่าทำกับคนยากคนจนเลย จะโลภมากไปถึงไหน คนที่ไปทำเขาก็อยากทำอาชีพสุจริต ทำมาหากิน คนไม่มีเงินก็ไปกู้เงินมาเพื่อจะทำอาชีพนี้หาเลี้ยงครอบครัว แต่พอทำจริงแล้วมันไม่ใช่ ตนร้องไห้จนน้ำตาตกใน ได้แต่พูดกับลูกว่าโดนแล้ว ลูกชายยังมีไม่มีงานทำก็ให้มาลงทุนขายของออนไลน์ ไม่คิดว่าจะทำกับคนยากคนจนขนาดนี้  มีคนด่าโง่อี่ควาย เศรษฐกิจย่ำแย่ตนกับลูกชายก็อยากมีอาชีพที่ดี/ ฝากถึงบอสทุก ๆ  คน อย่าทำกับคนยากคนจนเลย เมตตาคนหาเช้ากินค่ำด้วย”

นางสาวเอ (นามสมมุติ) ให้ข้อมูลว่าเรื่องเกิดขึ้นเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว ตนตัดสินใจร่วมลงทุนเพราะอยากจะสำเร็จเนื่องจากมีการชักชวนและกล่าวอ้างถึงผู้ที่ประสบความสำเร็จโดยมีวลีหลักของตัวเจ้าของหรือบอสใหญ่ว่า “ขยันผิดที่ 10 ปี ก็ไม่รวย” ตนจึงตัดสินใจเข้าร่วม และมีการชักชวนให้คนสนิทหรือคนในครอบครัวมาร่วมลงทุนด้วย แต่สินค้ากลับขายไม่ออกเนื่องจากสินค้าไม่ได้คุณภาพทำให้คนไม่กลับมาซื้อซ้ำ ตนเสียหายหลักล้าน เมื่อถามหาวิธีขายของกลับไม่ได้คำตอบ ทำให้ตนต้องเสียความสัมพันธ์กับคนสนิทและครอบครัว และธุรกิจดังกล่าวไม่ได้เน้นขายของแต่เน้นหาคนให้ร่วมลงทุน

ขณะที่ น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ หรือ ต้นอ้อ ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง เผยว่า หนึ่งในผู้เสียหายที่มาเล่าให้ตนฟัง บอกว่าเคยฆ่าตัวตายจากการลงทุนดังกล่าวไปแต่โชคดีรอดมาได้ โดยเริ่มแรกผู้เสียหายรายนี้ตกงานจึงสนใจร่วมลงทุน รูดบัตรเครดิคไปกว่า 400,000 บาท แต่สินค้าที่ได้รับมากลับขายไม่ได้ จนเกิดความเครียด ประกอบกับมีอาการป่วยโรคประจำตัว ขณะนั้นก็ยังท้องอยู่ 4 เดือน จึงตัดสินใจกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย แต่พลเมืองดีช่วยไว้ได้ทัน ขณะนี้ผ่านมาแล้วกว่า 10 เดือน ผู้เสียหายรายนี้ยังคงต้องใช้หนี้บัตรเครดิตที่รูดมาร่วมลงทุนบริษัทนี้

ทนายเดชา เปิดเผยว่า จากการที่ ‘แซม ยุรนันท์’ แถลงข่าวว่าตนเองไม่มีส่วนในการตัดสินใจของบริษัทตนเองได้พูดคุยกับพนักงานสอบสวนแล้วว่า การจะดำเนินคดีกับใครไม่ได้ดูแค่เพียงคำพูด แต่ต้องดูพฤติกรรมและหลักฐานที่รวบรวมมา ซึ่งดิจิทัลฟุตปริ้นจะเป็นตัวพิสูจน์ หากดูจากพฤติการณ์มีโอกาสสูงที่ดาราจะถูกดำเนินคดี แต่ยังไม่ขอระบุว่าเป็นใคร ส่วนใครจะฟ้องกลับ ทนายเดชา ระบุว่ายินดีให้ฟ้อง ถ้าบริสุทธิ์จริงก็ตั้งโต๊ะแถลง ตอบคำถามลูกค้าให้กระจ่าง ทั้งนี้ฝากไปถึงแม่ข่าย ขอให้เข้ามาเป็นพยานและแจ้งความหากไม่มาก็จะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและถือเป็นผู้ต้องหาแน่นอน



รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/6CGyOxaWVDM

คุณอาจสนใจ

Related News