ตำรวจสอบสวนกลาง รวบหนุ่มรับงานสแกนหน้าเปิดบัญชีธนาคาร แลกเงิน 300 บาท

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย บก.ป. ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ
ภูริเดช ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. ร่วมกันจับกุม นายอนุรัตน์ อายุ 26 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดพล ที่ จ.87/2566 ลงวันที่ 16 สิงหาคม 2566 โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม โดยน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” สถานที่จับกุม บริเวณลานจอดรถปั้มน้ำมันแห่งหนึ่ง ถนนรัชดาภิเษกขาออก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร



พฤติการณ์ เมื่อประมาณปี 2565 ผู้ต้องหาได้เล่นเฟซบุ๊ก เห็นเพจรับสมัครงานจึงเข้าไปดู และพบว่ามีคนโพสต์หาคนทำงาน รายได้ 300 บาทต่อครั้ง ได้เงินเร็ว ได้เงินจริง จึงสนใจ และเข้าไปสมัคร ปรากฏว่าได้รับการตอบกลับว่า ต้องการบัญชีธนาคารจำนวนมาก ถ้าอยากได้เงินใช้ ไปเปิดสมุดบัญชีมา หรือเปิดบัญชีออนไลน์เพื่อมาแลกเงิน หลังจากนั้นผู้ต้องหาได้ทำธุรกรรมเปิดบัญชีออนไลน์ ในแอปฯ ธนาคาร ผ่านการสแกนใบหน้าของผู้ต้องหาเอง แต่นำหมายเลขโทรศัพท์บุคคลอื่นตามที่เพจฯ แจ้ง มาตั้งค่ารหัส OTP ต่อมาไม่นานมีการนำบัญชีไปใช้หลอกลวงประชาชนในโซเชียลมิเดีย ต่างๆ ให้โอนเงิน ในพื้นที่ทางภาคอีสาน จึงถูกดำเนินคดี

ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม ได้เฝ้าแกะรอยผู้ต้องหา โดยสืบทราบว่า นายอนุรัตน์ ได้เดินทางมาร้านอาหารแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ จึงเข้าไปตรวจสอบ พบนายอนุรัตน์บริเวณลานจอดรถปั้มน้ำมัน ถ.รัชดาภิเษก จึงแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และได้ขอตรวจสอบบัตรประจำตัวประชาชน พบว่ามีตำหนิรูปพรรณ ชื่อหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนตรงตามหมายจับ จึงได้แสดงหมายจับศาลจังหวัดพล ที่ จ.87/2566 ลงวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2566 ให้ผู้ต้องหาตรวจดู อ่าน พร้อมทั้งแจ้งข้อความในหมายจับ ซึ่งผู้ต้องหายอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลอาญาฯ ดังกล่าวจริง

เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมควบคุมตัวมาทำบันทึกการจับกุมตัวที่ กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม ก่อนนำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.พล จ.ขอนแก่น เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป



สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา



ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เตือนภัย รับจ้างเปิดบัญชี หรือ ยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชี  มีโทษทางกฎหมาย หากบัญชีถูกนำไปใช้ในทางทุจริต เพราะอาจจะเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงินซึ่งมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับ 10,000 -200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ