รวบเจ้าของซุปเปอร์เค 2099 หลอกลงทุนเข้าข่ายบแชร์ลูกโซ่ เสียหายกว่า 500 ล้าน

พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป., พ.ต.อ.สรร มั่นเมืองรยา รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.วิระชาญ ขุนไชยแก้ว ผกก.5บก.ป., พ.ต.ท.ธนวัฒน์ หิ้นยกฮิ่น, พ.ต.ท.ปวิช ข่าทิพย์พาที,พ.ต.ท.หัตถพร ทองคำ, พ.ต.ท.ฤทธิชัย ชุมช่วย รอง ผกก.5 บก.ป. ,พ.ต.ต.สุขสิทธิ์ ประเสริฐ สว.กก.5 บก.ป. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการที่ 3 กองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม ร่วมกันจับกุม นายสิทธวีย์ อายุ 55 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาตลิ่งชัน ที่ จ.409/2565 ลงวันที่ 8 ก.ย.65 ได้ที่ บริเวณโรงแรมแห่งหนึ่ง ซ.ลาดพร้าว 122 แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ


โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันฉ้อโกง ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชนฯ”


สืบเนื่องจากเมื่อประมาณปลายเดือนกรกฎาคม 2564 ผู้เสียหายได้รับข้อมูลจากญาติ และคนรู้จักที่เป็นสมาชิกโครงการร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง ซึ่งมีนายสิทธวีย์ เป็นผู้บริหารและเป็นผู้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมลงทุนในโครงการฯ


โดยได้แนะนำข้อมูลในการร่วมลงทุนในโครงการฯ ซึ่งให้ผลตอบแทนสูง จึงมีความสนใจประสงค์จะสมัครเป็นสมาชิกในโครงการ และวิธีการลงทุนจะต้องทำโปรโมท โฆษณาประชาสัมพันธ์โครงการ และสินค้าในโครงการ ซึ่งจะมีค่าจ้าง ค่าตอบแทนให้ คือ เมื่อซื้อสินค้า 1 ชิ้นในราคา 1,200 บาท ครบ 7 วัน ผู้ซื้อจะได้รับเงินคืนจากโครงการ เป็นเงินจำนวน 1,500 บาท หรือได้กำไร 300 บาทต่อสินค้า 1 ชิ้น


ซึ่งทางโครงการอ้างว่าเป็นเงินค่าโปรโมทสินค้า และให้เชิญชวนหาลูกค้ามาร่วมโครงการ เพื่อจะได้ผลตอบแทนมากยิ่งขึ้น โดยในช่วงแรกของการลงทุนผู้เสียหายได้รับเงินตอบแทนตามจำนวนที่โครงการแนะนำ โดยผู้เสียหายเชื่อว่าจะได้รับค่าโปรโมทสินค้าจากโครงการตามที่เคยได้รับมา จึงเพิ่มยอดเงินการลงทุนในการสั่งซื้อสินค้า รวมเป็นจำนวนเงินกว่า 4,188,000 บาท


โดยผู้เสียหายได้รับเงินคืนเป็นค่าตอบแทนจากการลงทุนครั้งแรก เป็นเงินจำนวน 600,000 บาท หลังจากนั้นยังไม่ได้รับเงินตอบแทนคืนอีกเลย รวมทั้งยังไม่ได้รับเงินค่าสั่งซื้อสินค้าที่ลงทุนไป จึงไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจรถไฟธนบุรี ต่อมาพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาคนดังกล่าว


จากการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม ทราบว่า นายสิทธวีย์ ผู้ต้องหา ได้แยกตัวจากบริษัทร้านสะดวกซื้อแห่งนั้น เนื่องจากมีความขัดแย้งกับผู้บริหารในบริษัท จึงมาตั้งบริษัทซุปเปอร์เค 2099 และตั้งตนเองเป็นผู้บริหาร มีโครงการในบริษัททั้งสิ้นรวม 5 โครงการ เชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการต่างๆ เมื่อประมาณกลางปี 2564 อาทิเช่น

1. โครงการศูนย์กระจายสินค้า คือ ผู้สนใจจองเปิดร้านค้าสะดวกซื้อ

2. โครงการตลาดนัด คือ เจ้าของสินค้านำมาขายในแพลทฟอร์ม

3. โครงการแพลทฟอร์ม คือ การสร้างแอปพลิเคชัน ฮัก เอสเค

4. โครงการมาเก็ตติ้ง คือ ซื้อสินค้าแล้วได้สินค้าและเงินค่าโปรโมทประชาสัมพันธ์

5. โครงการครอบครัวซุปเปอร์เค คือ ให้สมาชิกบริจาคเงินมาเป็นกองทุนสวัสดิการ

และมีพฤติการณ์การหลอกลวง โดยการตั้งกลุ่มไลน์ชักชวนให้ผู้เสียหายซื้อสินค้าแล้วได้ค่าโปรโมทสินค้า เช่น ซื้อสินค้า 1 ชิ้น ราคา 1,200 บาท อีก 7 วัน ผู้ซื้อสินค้าจะได้รับเงินตอบแทน 1,500 บาท ซึ่งเป็นพฤติการณ์เดียวกันกับบริษัทสมาร์ทพลัส


และในช่วงแรกที่ผู้เสียหายซื้อสินค้าจากบริษัทซุปเปอร์เค 2099 จะได้รับค่าโปรโมทสินค้า ครบถ้วนตามที่ตกลง ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ เพิ่มยอดการสั่งซื้อสินค้าจากหลักพัน จนถึงหลักแสนบาท เพื่อหวังได้ค่าโปรโมทสินค้าจากบริษัท ปรากฏว่า ในช่วงหลังของการสั่งซื้อสินค้าทางบริษัทหยุดจ่ายเงินค่าโปรโมทสินค้าตามที่เคยตกลงกันไว้ จนทำให้มีผู้เสียหายจากการสั่งซื้อสินค้าและการเข้าร่วมลงทุนกับบริษัท


จากโครงการทั้ง 5 โครงการข้างต้น มีประชาชนหลงเชื่อเข้าร่วมโครงการ เป็นจำนวนกว่า 5,000 คน และมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 500 ล้านบาท


ต่อมาเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2565 เวลาประมาณ 20.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ป. ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหดังกล่าว ได้ที่ บริเวณโรงแรมแห่งหนึ่ง ซ.ลาดพร้าว 122 แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ นำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


จากการสอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ให้การภาคเสธว่าตนเองไม่ได้เจตนาโกง แต่เนื่องจากการเงินหมุนเงินให้ลูกค้าไม่ทันจึงหยุดจ่ายเงินให้ลูกค้าตามที่ตกลง


เตือนภัยสังคม การลงทุนในลักษณะแชร์ลูกโซ่มีความเสี่ยงต่อการลงทุน อาจถูกฉ้อโกงเสียทรัพย์สินจำนวนมากโดยผู้ต้องหาใช้ผลตอบแทนสูงมาเป็นเหยื่อล่อ