สมาคมเลี้ยงหมู แนะ จับตาลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน หาผลประโยชน์ในช่วงหมูแพง

แหล่งข่าวจากสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า หากรัฐบาลยืนยันว่าหมูไม่ได้ขาดแคลนตามที่สมาคมฯ ได้รายงานข้อมูลไป ก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องนำเข้าหมูจากต่างประเทศ เพราะสมาคมฯ ก็มีการประกาศตรึงราคาหมูหน้าฟาร์มไว้ที่กิโลกรัมละ 110 บาทยาวถึงตรุษจีนแล้ว จึงอยากให้รอดูสถานการณ์ว่า หมูขาดแคลนตามที่สมาคมฯ ได้รายงานไปจริงหรือไม่ และเชื่อว่าความจริงจะปรากฎ โดยมองว่าหารัฐบาลจริงใจในการแก้ปัญหาสถานการณ์ก็น่าจะค่อย ๆ คลี่คลายลงได้

แต่อย่างไรก็ตามสมาคมได้รับรายงานว่าในสัปดาห์หน้า จะมีการเสนอในที่ประชุม ครม. ให้นำเข้าหมูเป็นจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามา จึงไม่เข้าใจว่า หากหมูไม่ขาดแคลนแล้วทำไมต้องนำเข้า พร้อมแนะให้จับตา การลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนจากต่างประเทศ เพื่อแสวงหาประโยชน์จากราคาขายในประเทศที่อยู่ในระดับสูง โดยมีรายงานว่า ขณะนี้มีการลักลอบนำเข้าหมูจากฮอลแลนด์ และ เยอรมนี โดยทำเป็นขบวนการในลักษณะของการเปลี่ยนกล่อง สวมกล่อง สำแดงเป็นอาหารทะเล , เป็นชิ้นส่วนหมู สำหรับทำอาหารสัตว์ ฯลฯ แต่แท้จริงแล้วเป็นเนื้อหมูสำหรับการบริโภค และมีการจ่ายใต้โต๊ะในราคาตู้ละล้านบาท ดำเนินการโดยกลุ่มของคนอักษรย่อ ป. พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะปล่อยให้มีการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนเข้ามา ไม่ต้องเสียภาษี แถมยังขายในประเทศได้ในราคาสูง แล้วชี้แจงกับประชาชนว่าหมูไม่ขาดแคลน จึงสงสัยว่าจากขบวนการนี้ใครเป็นผู้ได้ประโยชน์



อย่างไรก็ตามเมื่อวานนี้ นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรและสหกรณ์ ได้รายงานต่อที่ประชุม ครม. ถึงสถานการณ์หมูในประเทศตั้งแต่ปี 61-64 ว่า จากตัวเลขในปัจจุบันพบว่า ประเทศไทย ผลิตหมูได้ 19 ล้านตัว จำนวนนี้เป็นการบริโภคในประเทศ 18 ล้านตัว และส่งออก 1 ล้านตัว เมื่อดูจากตัวเลขแล้วพบว่า หมูไม่ได้ขาดแคลน ราคาอาหารสัตว์แพงขึ้นจาก 78 บาท เป็น 90 บาท ส่วนราคาหมูหน้าฟาร์มอยู่ที่ 80-110 บาท ราคามีความไม่แน่นอน ซึ่งตัวเลขที่ได้มาไม่ตรงกับตัวเลขของทางสมาคมผู้เลี้ยงสุกรที่ระบุว่า หมูขาดแคลน พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมหมูถึงหายไป ราคาอาหารก็ไม่ได้แพงจนเป็นเหตุให้หมูต้องขึ้นราคาขนาดนี้ จึงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น มีการกักตุนหรือไม่ มีการฉวยโอกาสหรือไม่