สังคม

สาวทำงานดูไบถูกไล่ออก แต่กลับไทยไม่ได้ หลังถูกนายจ้างยึดพาสปอร์ต เรียกครึ่งแสนไถ่คืน อ้างเป็นค่าดำเนินการ

โดย pichaya_s

1 ก.ค. 2564

1.7K views

จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Manussanun Kieth ไลฟ์เปิดความในใจเล่าว่าได้ติดต่อสมัครงานผ่านเฟซบุ๊ก เพื่อมาทำงานสปาที่ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยเจ้าตัวระบุว่า บินจากประเทศไทยโดยวีซ่านักท่องเที่ยว ซึ่งทางนายจ้างระบุว่าเมื่อมาทำงานแล้วจะเปลี่ยนวีซ่าเป็นแบบทำงานให้ภายหลั ง


โดยมาเริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ 25 ก.พ. 64 ตกลงค่าจ้างกันที่ 2,500 เดอร์แฮม หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 21,813 บาท มีที่พักฟรี ข้าวฟรี แต่จะถูกหักเดือนละ 500 เดอร์แฮม หรือประมาณ 4,362 บาททุกเดือน เป็นค่าดำเนินการขอวีซ่าทำงาน แต่เมื่อทำงานไปได้ระยะหนึ่งกระทั่งวันที่ 26 มิ.ย. 64 กลับถูกนายจ้างไล่ออก โดยทางนายจ้างให้เหตุผลว่า ตนไม่ขยันทำงาน และก็สูบบุหรี่ ซึ่งตนยืนยันว่าเป็นคนไม่สูบบุหรี่ เพราะเป็นภูมิแพ้ ซึ่งหลังจากถูกไล่ออกตนก็ประสงค์ที่จะเดินทางกลับไทย แต่ถูกนายจ้างยึดพาสปอร์ตไว้ตั้งแต่วันแรก จึงไม่สามารถเดินทางกลับไทยได้


เมื่อสอบถามไปยังนายจ้าง ก็ถูกบอกว่าให้จ่ายเงิน 6,300 เดอร์แฮม หรือประมาณ 55,000 บาท เป็นค่าดำเนินการยกเลิกวีซ่าทำงาน และจะคืนพาสปอร์ตให้ แต่ทางผู้โพสต์เชื่อว่าตนเองไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินในส่วนนี้ เพราะตนเองเป็นคนถูกเลิกสัญญาจ้าง และไม่ได้เป็นคนหนีออกมา เชื่อว่าตนไม่ต้องจ่ายเงินในส่วนนี้ และอีกทั่งเงินจำนวนกว่า 55,000 บาท ถือว่ามากเกินไป จึงจริงๆแล้วค่าดำเนินการวีซ่าอยู่ที่ประมาณ 265 เดอร์แฮมเท่านั้น


คุณมนัสนันท์ เกียรติธนโชติกุล ผู้โพสต์เปิดใจกับทีมข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ว่า ตอนนี้อยากกลับบ้านมาก แต่กลับไม่ได้เพราะไม่มีพาสปอร์ต ซึ่งหลังจากถูกเลิกจ้างก็ต้องออกมาเช่าโรงแรมอยู่ มีค่าใช้จ่ายทุกวัน ติดต่อสถานกงสุลให้ช่วยเหลือนัดไกล่เกลี่ยกับทางนายจ้าง ก็ไม่ได้ความคืบหน้าแต่อย่างใด ตอนนี้มืดแปดด้าน ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว


อย่างไรก็ตาม ทีมข่าวเรื่องเล่าเช้านี้พยายามติดต่อขอสัมภาษณ์กับทางนายจ้างซึ่งเป็นคนไทย ก็ไม่ได้รับการชี้แจงแต่อย่างใด โดยนายจ้างระบุแต่เพียงว่าได้ยึดพาสปอร์ตของคุณมนัสนันท์ ไว้จริงเท่านั้น เมื่อทีมข่าวถามว่าต้องทำอย่างไรถึงจะคืนพาสสปอร์ตให้กับลูกจ้างรายนี้ กลับไม่ได้รับคำตอบ


ทั้งนี้ทีมข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ ก็พยายามประสานสถานกงสุลใหญ่ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อช่วยเหลือนัดไกล่เกลี่ยทั้งสองฝ่าย เพื่อหาทางออก โดยทางถานกงสุลใหญ่ดูไบ ระบุว่า กรณีนายจ้างและลูกจ้างไม่สามารถตกลงไกล่เกลี่ยกันได้ แนะนำให้ยื่นร้องเรียนกับกระทรวงแรงงานรัฐฟูไจราห์ จนท. จะยึดถือตามสัญญาจ้างที่ตกลงกันและหากลูกจ้างไม่ได้รับความเป็นธรรมก็สามารถไปยื่นเรื่องร้องเรียนนายจ้างตามกฎหมายแรงงานของยูเออีได้


ขณะที่ทีมข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ ยังได้สอบถามทนายรณรงค์ แก้วเพชร ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ถึงกรณีการยึดพาสปอร์ตไว้และเรียกเงินเพื่อขอคืน ว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่นั้น ทนายรณรงค์ ระบุว่าเป็นเรื่องของกฎหมายของแต่ละประเทศ แต่หากเป็นกฎหมายไทยก็จะเข้าข่ายในกรณีของการกรรโชกทรัพย์ โดยการนำทรัพย์สินมาเป็นข้อต่อรองให้เราจ่ายเงิน ซึ่งก็จะมีความผิดตามกฎหมายเรื่องของการข่มขู่ แต่อย่างไรก็ตามการไปทำงานโดยผิดกฎหมายก็ดำเนินการยุ่งยากกว่า ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละประเทศ


ทั้งนี้ทนายรณรงค์ ก็ยังได้แนะนำว่าหากต้องการไปทำงานที่ต่างประเทศ แนะนำให้ติดต่อผ่านสำนักงานจัดหางาน เพราะอย่างน้อยก็จะถูกส่งไปทำงานยังบริษัทที่ได้รับการตรวจสอบแล้ว และไปอย่างถูกกฎหมายอีกด้วย


คุณอาจสนใจ