สังคม

สาวขุดวีรกรรม ‘คิวพี’ เคยถูกขับเบนซ์ชนสะโพกหัก ไร้เยียวยาจนต้องฟ้องเอง

โดย paweena_c

20 ส.ค. 2567

95 views

สาวขุดวีรกรรม “คิวพี” ก่อนเกิดเหตุเจ็ตสกีชนเรือหางยาว เคยถูกขับรถชนเบนซ์ชนจนสะโพกหัก ซี่โครงร้าว ไร้การเยียวยา พูดบ่ายเบี่ยงอ้างตนไม่ผิด จนต้องฟ้องศาลเอง ได้มา 3,500 บาท

จากกรณีที่นาย ชินดนัย แซ่ลิ้ม หรือ คิวพี ดารานักแสดงซีรีส์ ขับเจ็ตสกีพุ่งชนเรือข้ามฟากกลางแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณท่าน้ำพระราม 3 มุ่งหน้าท่าน้ำอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ทำให้นายประยูร อ่วมปทุม คนขับเรือ และนางสาวปาริฉัตร หอยหมั้น ผู้โดยสารกระเด็นตกจากเรือหางยาวและจมน้ำเสียชีวิต เมื่อช่วง 2 ทุ่มครึ่งของวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยเมื่อวานนี้ (19 ส.ค.67) "คิวพี" พร้อมพ่อและลุง ซึ่งเป็นเจ้าของเจ็ตสกี ได้เข้าพบเจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่าที่ ที่สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสมุทรปราการ "คิวพี" ใส่ชุดเสื้อยืดสีขาว ใส่หน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้า มีสีหน้าที่เคร่งเครียด และมีบางช่วงที่คุณพ่อได้จับมือ "คิวพี" ไว้ เพื่อให้กำลังใจ โดยใช้เวลาให้ปากคำนานกว่า 3 ชั่วโมง ก่อนจะเดินทางกลับออกมาราว 3 โมงครึ่ง เพื่อไปพบพนักงานสอบสวนที่ สภ.พระประแดง

ก่อนที่พ่อจะออกมาแถลงข่าว โดยบอกว่า ขอโทษกับญาติของผู้เสียชีวิตกับสิ่งที่เกิดขึ้น อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเขาไม่ได้เจตนา วันเกิดเหตุเขามองไม่เห็นจริงๆ และปกติจะขับเจ็ตสกีในบึงปิด ไม่ค่อยได้ขับเจ็ตสกีมาเล่นในพื้นที่พระประแดง จึงไม่รู้ว่ามีการเดินเรือข้ามฟาก ส่วนภาพที่มีการถือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นภาพเก่า แค่เอามาถือถ่ายเท่านั้น หลังจากนี้ตั้งใจจะเลิกขี่เจ็ตสกี และมีความตั้งใจที่จะบวช อุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิต พร้อมที่จะรับผิดชอบเยียวยากับญาติผู้เสียชีวิตอย่างเต็มที่

ขณะเดียวกันมีหญิงคนหนึ่งโพสต์ข้อความผ่านช่องแสดงความเห็นของเพจเฟซบุ๊ก "สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว" ว่า "เราเคยถูกคุณเขาขับเบนซ์ชนซี่โครงร้าวแอดมิดโรงพยาบาล 1 คืน เค้ายังไม่เคยไปเยี่ยมเลย พอตำรวจสรุปคดีว่าต่างฝ่ายต่าง ประมาท สรุปนางก็จะไม่จ่ายอะไรใดๆ จนเราต้องไปหาคลิปจากกรุงเทพมหานครมาแสดงว่าเราไม่ผิด จนต้องขึ้นศาลแพ่งไกล่เกลี่ยได้มา 3,500 บาท"

โดยภาพวงจรปิดวันเกิดเหตุ ช่วงเกือบ 6 โมงเย็น วันที่ 31 พฤษภาคม 2565 บนถนนศรีนครินทร์ มุ่งหน้าไปยังแยกหัวหมากตัดพัฒนาการ รถยนต์เบนซ์สีขาวของ "คิวพี" ขับข้ามทางรถไฟ แล้วมีมอเตอร์ไซค์ของผู้เสียหายขี่ตามท้ายมา เลยจากจุดนี้ไปประมาณ 70 เมตร จะเป็นจุดที่รถเบนซ์ของ "คิวพี" เฉี่ยวชนมอเตอร์ไซต์ของผู้เสียหาย ที่ด้านหน้าคอนโดแห่งหนึ่ง

ทีมข่าวอาชญากรรมได้พูดคุยกับคุณปิ๋ว หรือ นาง พิมพ์ณัฐศยา บัวเพ็ชร อายุ 31 ปี เล่าว่า วันเกิดเหตุกำลังขี่มอเตอร์ไซต์กลับบ้าน เธอขี่อยู่เลนซ้ายสุด จังหวะที่เธอพยายามจะหักหลบ เข้าชิดซ้ายเพื่อเบี่ยงเส้นทางที่กำลังก่อสร้างอุโมงค์ โดยอ้อมด้านหลังรถของ "คิวพี" ปรากฏว่า รถของ "คิวพี" ก็ขับเลี้ยวซ้ายเข้าคอนโดอย่างกะทันหัน โดยไม่เปิดไฟเลี้ยวทำให้ชนกับเธออย่างจัง จนรถของเธอล้มลงกับพื้น

หลังเกิดเหตุ ตัวคิวพีพร้อมเพื่อนชายอีกคนหนึ่งได้ลงมาจากรถพร้อมยกมือไหว้ขอโทษ อ้างว่า "มองไม่เห็น" และ "คิวพี" บอกว่าจะจ่ายค่าทำขวัญให้ 5,000 บาท แลกไม่แจ้งความเอาเรื่อง เพราะใบขับขี่ของ "คิวพี" หมดอายุ ตอนนั้นก็อุ่นใจ และกู้ภัยส่งเธอไปโรงพยาบาล นอนรักษาตัว 1 คืน เพราะซี่โครงข้างซ้ายร้าว และเป็นแผลฟกช้ำบริเวณไหปลาร้าข้างซ้าย

ในการรักษาพยาบาลเธอเบิกค่ารักษาตาม พ.ร.บ. จึงต้องลงบันทึกประจำวันที่ สน.ประเวศ โดยให้สามีเป็นผู้ลงบันทึกประจำวันแทน ทำให้ "คิวพี" ต้องไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันรุ่งขึ้น แต่ "คิวพี" ไม่มา และบ่ายเบี่ยงที่จะพูดคุยมาโดยตลอด แล้วให้ทนายมาคุยแทน และคดีก็ช้ามาก กว่าตำรวจจะสรุปสำนวนว่าเป็นประมาทร่วมในเดือนมิถุนายน 2566 เท่ากับว่าผ่านไปแล้ว 1 ปี "คิวพี" ถูกแจ้งข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย และผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ เสียค่าปรับในชั้นพนักงานสอบสวน ส่วนเธอก็ถูกแจ้งข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหายเช่นกัน แต่เธอมองว่าไม่ถูกต้อง เพราะเธอขับทางตรง แต่ถูก "คิวพี" ชน จึงขอใช้สิทธิ์ทางศาลแทน

หลังจากนั้นเธอก็พยายามรวบรวมหลักฐานด้วยตนเอง และฟ้องตรงที่ศาลอาญาพระโขนง กระทั่งวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 ศาลได้นัดมาไกล่เกลี่ย วันนั้น "คิวพี" พยายามพูดบ่ายเบี่ยงต่อหน้าศาลว่าตัวเองไม่ผิด เพราะไม่มองเห็นรถของเธอ แต่สุดท้ายตกลงกันได้ โดย "คิวพี" ยอมจ่ายเงินให้เธอ 3,500 บาท เป็นค่าซ่อมมอเตอร์ไซต์ จากเดิมที่เธอเรียก 5,000 บาท สาเหตุที่ยอมเพราะอยากให้เรื่องนี้จบโดยเร็ว และไม่อยากเจอหน้า "คิวพี" แม้เงินที่ได้มาจะไม่พอกับค่าซ่อมมอเตอร์ไซต์ก็ตาม ที่ต้องออกมาเล่าเรื่องราวของตัวเอง เพราะเขายังก่อเหตุซ้ำซาก ไม่คิดจะแก้ไขพฤติกรรม

ส่วนประเด็นที่ตำรวจ สน.ประเวศ เจ้าของคดีชี้ว่าเป็นประมาทคู่ ได้ชี้แจงกับทีมข่าวว่า นอกจากฝั่งรถเก๋งที่จะต้องใช้ความระมัดระวัง ควรดูทางให้รอบคอบ และเปิดไฟเลี้ยวก่อนจะเลี้ยวซ้ายแล้ว มอเตอร์ไซต์แม้ว่าจะขี่อยู่เลนซ้าย แต่หากวิ่งทางตรง ก็ควรจะต้องขี่ต่อท้ายรถใหญ่ในลักษณะของการต่อแถวไปเรื่อยๆ หรือหากจะแซงรถใหญ่ ตามกฎหมายระบุชัดว่าควรต้องเบี่ยงออกขวา ไม่ใช่เบี่ยงออกซ้าย ดังนั้นจึงเห็นว่ามอเตอร์ไซต์ขับมาทางซ้ายตีคู่กับรถใหญ่ มีลักษณะของการไม่ระมัดระวัง เลยทำให้เกิดอุบัติเหตุ


https://youtu.be/IYk4L8peMe0

คุณอาจสนใจ