สังคม

สาวทุ่ม 3 แสน จัดงานแต่ง สุดช้ำวิวาห์ล่ม เจ้าบ่าวอ้างเป็นทหาร ไม่มาตามนัด

โดย thichaphat_d

5 พ.ค. 2565

6.6K views

หนุ่มอ้างว่าเป็นทหารยศ จ.ส.อ. ตกลงจัดงานแต่งกับสาวในวันที่ 1 พ.ค.65 พอถึงเวลาเข้าพิธีรอเจ้าบ่าว ติดต่อไปก็ไม่รับสาย จึงรู้ว่าถูกหลอกให้งานแต่ง ต้องทนยืนรับแขกที่มาร่วมพิธีคนเดียว ไร้เงาเจ้าบ่าวจนเสร็จงาน ซ้ำเป็นหนี้หาเงินมาจัดงานเกือบ 300,000 บาท

ผู้สื่อข่าวปราจีนบุรี ได้รับแจ้งร้องทุกข์ จากน.ส.น้ำทิพย์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี เป็นสาวโรงงานแห่งหนึ่งในพื้นที่เขตนิคมอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี ได้ร้องทุกข์ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งอ้างว่าเป็นทหารชื่อ จ.ส.อ.ได้ตกลงกับน.ส.น้ำทิพย์ (ผู้เสียหาย) และบิดามารดาว่าจะมาจัดพิธีมงคลสมรสในวันที่ 1 พ.ค.65




จึงตกลงกันพอถึงวันพิธีแต่งงานทางด้านเจ้าสาวได้จัดเตรียมงานทั้ง มีทั้งพิธีทางศาสนา โต๊ะจีน พร้อมเครื่องดื่มจำนวน 50 โต๊ะ สำหรับเลี้ยงแขก พอถึงเวลาแขกเริ่มเข้ามาภายในงาน ซึ่งเจ้าสาวและญาติได้ต้อนรับแขก พอถึงเวลาเข้าพิธีรอเจ้าบ่าว มาแต่เวลาผ่านไปไม่พบว่าเจ้าบ่าวจะมาเข้าพิธี ติดต่อไปก็ไม่รับสาย จึงรู้ว่าถูกหลอกให้งานแต่ง




ทางเจ้าสาวจึงเสียใจอย่างมาก แต่ก็ต้องทนยืนรับแขกที่มาร่วมพิธีคนเดียวโดยไร้เงาเจ้าบ่าวจนเสร็จงาน ทั้งทุกข์ระทมใจเป็นอย่างมาก แม้งานจะจัดเสร็จไปโดยไร้เจ้าบ่าว แต่ที่สำคัญคือตอนนี้ตนและครอบครัวเป็นหนี้เกือบ 300,000 บาท เป็นเงินที่นำมาใช้จัดงานทั้งหมด และที่มาร้องผู้สื่อข่าวแม้เวลาจะล่วงเลยมา 2-3 วันแล้วก็ยังไร้เงาเจ้าบ่าวที่อ้างเป็นทหารมารับผิดชอบกับเรื่องนี้




หลังเกิดเหตุ น.ส.น้ำทิพย์ ยังคงอยู่ในอาการที่เหม่อลอยและซึมเศร้า ซึ่งทางญาติเองก็ยังคงให้กำลังใจตลอด อย่างไรก็ตาม ทางครอบครัวยังคงเก็บหลักฐานไว้โดยเฉพาะดอกไม้ ที่ประดับในพิธีรดน้ำสังข์ ป้ายชื่อ เจ้าบ่าว เจ้าสาว นอกจากนั้นที่บริเวณลานที่จัดสำหรับโต๊ะจีน เพื่อรองรับแขกที่มาร่วมงาน ยังมีร่องรอย ให้เห็นว่ามีการจัดเลี้ยงแขกจริง พร้อมแสดงภาพถ่าย และบิลค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมแล้วเกือบ 300,000 บาท




จากการสอบถาม น.ส.น้ำทิพย์ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ตนกับแฟนหนุ่ม ที่อ้างตัวเป็นจ่าสิบเอก ได้คบหาดูใจตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2564 โดยตลอดเวลาที่คบกัน เขาได้บอกกับเขาเป็นทหารยศจ่าสิบเอก และยังอ้างว่าเป็นบอดี้การ์ดให้กับนักการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่ตำบลนาดี

ด้วยความบุคลิกการแต่งกาย และการพูดจา จึงเชื่อแฟนหนุ่มว่าเป็นทหารจริง และเป็นบอดี้การ์ดของนักการเมืองท้องถิ่นจริง จึงไม่ได้สอบถามเพิ่มเติม ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา ชายคนดังกล่าวนั้นเป็นคนที่นิสัยดี เสมอต้นเสมอปลายเข้ากับคนที่บ้านพ่อแม่พี่น้องได้ดี โดยจะคอยทำอาหารกับข้าวภายในบ้านและดูแลทุกอย่างแทบจะทุกวัน




ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ทิ้งงานแต่งนั้น ฝ่ายชายได้มาพูดคุย บอกว่าอยากจะขอแต่งงาน แต่เนื่องจากตนเคยแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่ง จึงบอกกับฝ่ายชายว่า ไม่ต้องจัดงานใหญ่ก็ได้ แต่ฝ่ายชายบอกว่า อยากได้งานใหญ่นิดนึง เพราะเป็นทหาร และยังเป็นบอดี้การ์ดของนักการเมืองท้องถิ่น และมีบุคคลที่รู้จักใหญ่โตอีกหลายคน จึงตามใจแฟนโดยไม่ได้ห้ามอะไร

หลังจากนั้น แฟนก็ได้คุยกับพ่อแม่ โดยพ่อแม่ได้เรียกค่าสินสอดเป็นเงิน 200,000 บาท และทองคำหนัก 3 บาท เบื้องต้นทางแฟนรับปากว่าไหวและจะหาเงินมาทันในงานวันแต่งแน่นอน เดิมทีกำหนดงานไว้วันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา แต่ถ้าว่าเกิดการแพร่ระบาดอย่างหนักของโควิด-19 จึงไม่สามารถจัดงานได้ จึงได้เลยมาเป็นวันที่ 1 พฤษภาคม 2565 โดยที่ฝ่ายชายเป็นคนดำเนินการเรื่อง การจัดดอกไม้จัดซุ้มอาหารดนตรีเครื่องดื่ม ด้วยตนเอง




พอถึงงานวันแต่งวันที่ 1 พฤษภาคม 2565 เวลาประมาณ 02.00 น. ฝ่ายชายได้เก็บกระเป๋า แล้วบอกว่าจะไปนอนกับแม่ และ ญาติของตนซึ่งได้มาจองรีสอร์ทไว้ใกล้เคียงกับบ้านของตน ส่วนตนนั้นต้องแต่งหน้าต่อจึง มอบเงินให้ฝ่ายชายจำนวน 20,000 บาท เพื่อนำเป็นค่าใช้จ่ายส่วนต่างๆในระหว่างงาน

หลังจากนั้นตนก็แต่งตัวแต่งหน้าจนถึงเวลาประมาณ 06.00 น. กระทั่งหลานชายมาบอกว่า น้ำแข็งในงานมาส่งแล้วจะต้องจ่ายเงินสดเขา จึงพยายามโทรหาแฟนว่าให้นำเงินมาจ่าย และมาแต่งหน้าแต่งตัวเพราะว่าอีกประมาณ 1 ชั่วโมง จะมีพิธีสงฆ์ ฝ่ายชายจึงรับปากว่ากำลังมา




และเมื่อถึงเวลาประมาณ 7:00 น ต้องเข้าสู่พิธีสงฆ์ตนจึงได้โทรหาฝ่ายชายอีกรอบ แต่ได้คำตอบมาว่า ตอนนี้มีปากเสียงเรื่องเงินสินสอดกับแม่ตนอยู่ ขอเวลาประมาณ 07.00 น เจ้าบ่าวจะรีบเข้ามาให้ทันพิธี โดยหลังจากนั้นก็โทรติดต่อแฟนหนุ่มไม่ได้อีกเลย จึงคิดได้ทันทีว่าฝ่ายชายได้หนีการแต่งงานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ตอนนั้นรู้สึกช็อก และเสียใจมาก แต่เนื่องด้วยทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว จึงแข็งใจออกมาทำพิธี โดยการตักบาตรเพียงคนเดียว ทำพิธีทางสงฆ์เพียงคนเดียว และต้อนรับแขกเพื่อให้งานผ่านพ้นไปด้วยดี และหลังจากเสร็จพิธีก็พยายามติดต่อไปยังแฟนของตน ก็ยังติดต่อไม่ได้ทนจึงได้ปรึกษากับครอบครัวและนำหลักฐานทั้งหมดเข้าแจ้งความบันทึกประจำวันแก่เจ้าหน้าที่ให้ตามหาฝ่ายชายให้มารับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในงานทั้งหมดด้วย



คุณอาจสนใจ

Related News