แกะรอยรถบรรทุกลักซากเหล็กของกลางวินโพรเสส ตั้งข้อสังเกตสติกเกอร์ข้างรถ เอี่ยวหน่วยงานใดหรือไม่

ในขณะที่ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง และอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นำคณะเจ้าหน้าที่ไปชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎรนั้น ข่าว 3 มิติ ได้เบาะแสว่า วันนี้มีการขนย้ายซากเหล็กในโรงงานวินโพรเสส ออกไปโดยไม่ได้รับญาต ซึ่งอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ระบุว่านี่ อาจเป็นการลักทรัพย์ที่เป็นของกลาง ข่าว 3 มิติ ติดตามตรวจสอบจนพบ รถคันดังกล่าวติดสติกเกอร์แสดงสัญลักษณ์ชัดเจน ระหว่างที่ขนเหล็กออกจากโรงงานนี้จริง



ภาพจากล้องวงจรปิด บันทึกภาพเมื่อเวลา 8 นาฬิกา 42 นาที รถบรรทุก 10 ล้อคันนี้ ที่หัวรถบรรทุก มีตัวเลขหมายเลข 2 กำกับที่ฝังคนขับ วิ่งเข้าไปที่โรงงานวินโพรเสส โดยจอดนิ่งสนิท ที่ป้อมยามชั่วคราว เพื่อใช้บันทึกคนเข้าและออก ประมาณ 3 นาที. ก่อนจะวิ่งเข้าไปในโรงงาน เมื่อ 8 นาฬิกา 43 นาที



จากนั้น เวลา 14 นาฬิกา 38 นาที 56 วินาที รถบรรทุกคันนี้ก็ออกจากโรงงาน โดยท้ายรถยังปรากฏสีแดง ของฝุ่นควันฟุ้งกระจาย และวิ่งมุ่งหน้าไปทางแยกอำเภอวังจันทร์ แต่ไม่นานก็กลับรถมา



โดยเริ่มปรากฏภาพรถคันนี้ในกล้องวงรปิดเวลา 14 นาฬิกา 40 นาที  กระทั่งรถผ่านหน้ากล้องเวลา 14 นาฬิกา 41 นาที 1 วินาที ก็เห็นภาพท้ายรถบรรทุกชัดเจนว่า คล้ายกับเศษเหล็ก สีสนิม ถูกดัดหรือกดทับจนแบนราบ แล้วบรรทุกมากับรถคันนี้จนถึงขอบกระบะของรถ 10 ล้อ



เป็นที่น่าสังเกตว่ารถคันนี้ที่ประตูด้านข้าง ติดสติกเกอร์เลข 2 ตรงกับรถที่วิ่งเข้าไปทุกอย่าง แต่คราวนี้ ที่หน้ารถ ติดสติกเกอร์ว่า อบจ.2



ข้อเท็จจริงว่ารถคันนี้ติดสติกเกอร์ว่า อบจ.2 นั้น เกี่ยวข้องกับ อบจ.ที่ใดหรือไม่ เป็นประเด็นต้องตรวสอบ และแม้ว่าภาพจากกล้องวงจรปิดจะเห็นภาพไม่ชัด



แต่ข่าว 3 มิติ ก็ได้ภาพอีกชุดหนึ่ง ที่เห็นรถคันนี้จอดรออยู่นานแล้ว ซึ่งเห็นป้ายทะเบียนชัดเจน ทั้งขณะจอดรอ และขณะออกจากโรงงาน ภาพรถยนต์ที่เห็นทะเบียนนี้ เริ่มแพร่หลายในกลุ่มเจ้าหน้าที่แล้ว เชื่อว่าหากตรวจสอบจริงจัง จะหาคำตอบได้ไม่ยาก



ข่าว 3 มิติ ตรวสอบจากแหล่งข่าวพบข้อมูลว่ามีการลักลอบขนเศษเหล็กที่เป็นโครงของถังเบาท์ ที่ถูกเพลิงไหม้ไปแล้ว ขึ้นรถออกไป ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นการลักทรัพย์ เนื่องจากเป็นทรัพย์ ที่เป็นของกลางในคดี และวัสดุทั้งหมดที่ศาลสั่งอายัดไว้แล้วนั้น หากเป็นสิ่งของที่มีมูลค่า ก็จะถูกขายเพื่อนำเงินมาใช้ในการแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งยังต้องการงบประมาณอีกมาก