สังคม

'รัชฎา' เปิดเหตุผลสู้คดี ชี้ถูกวางแผนล่อลวง ยันไม่เคยรับสินบน

โดย panwilai_c

23 ก.พ. 2566

107 views

ผ่านมาเกือบ 2 เดือนแล้ว ตั้งแต่วันที่อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ถูกตำรวจ ปปป. บุกจับที่ห้องทำงานพร้อมซองเงินที่ถูกระบุว่า เป็นเงินที่เรียกรับจากข้าราชการในสังกัดกรมอุทยานฯ ที่ผ่านมา นาย รัชฎา ไม่เคยชี้แจงแม้แต่ครั้งเดียว แต่วันนี้ ยอมพูดแล้ว ยืนยันไม่เคยเรียกรับเงินลูกน้อง นายรัชฎาบอกว่า เหตุที่ต้องออกมาพูดวันนี้เพราะต้องรวบรวมพยานหลักฐานฟ้องดำเนินคดี และเพื่อกอบกู้ชื่อเสียง



นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยหลังเดินทางไปศาลอาญาคดีทุจริต เเละประพฤติมิชอบกลาง ตลิ่งชัน เพื่อไต่สวนฝ่ายโจทก์ ในคดีที่ ยื่นฟ้อง พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบ รวมทั้ง ชุดจับกุม และนาย ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) กับพวก รวม 7 คน เป็นจำเลย



ในฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ / ความผิดต่อเสรีภาพ / สร้างพยานหลักฐานเท็จฯ / เจ้าพนักงานแกล้งให้ต้องรับโทษ / บุกรุก / ซ่องโจร และผิดพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 กรณีที่ทั้งหมดวางแผนล่อลวงให้รับเงิน ก่อนจะนำกำลังเข้าจับพร้อมบันทึกวิดีโอให้สื่อมวลชนนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณชน



นายรัชฎา ยืนยันว่า ไม่เคยเรียกรับผลประโยชน์จากข้าราชการกรมอุทยานฯ แต่เงินที่พบในห้องแบ่งเป็น 3 ส่วน คือเงินส่วนตัว เงินที่ข้าราชการนำมาฝากเข้าโครงการพ่อแม่อุปถัมภ์ ช่วยเหลือค่าอาหารสัตว์ป่าของกลางที่ถูกยึดไว้ และ เงินเช่าพระพุทธรูป เพื่อเข้าโครงการสวัสดิการฯ



นาย รัชฎา ยังบอกว่า สาเหตุที่ต้องฟ้องกลับเพราะโดนกลั่นแกล้ง เนื่องจากสมัยที่นาย ชัยวัฒน์ เป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ในปี 2555 ได้ทำเรื่องเบิกจ่ายโครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ กว่า 4,200 ไร่ เป็นเงินกว่า 14 ล้านบาท แต่กลับไม่มีการดำเนินโครงการจริง จึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และดำเนินการทางละเมิด ก่อนที่เรื่องจะเงียบหายไป จนกระทั่งเป็นอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ กำลังจะดำเนินการต่อ เพราะคดีในชั้น ป.ป.ช. จะหมดอายุความในวันที่ 29 มีนาคมนี้ หากไม่ดำเนินการก็จะมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นไปด้วย จึงคาดว่าเป็นสาเหตุให้นายชัยวัฒน์ ไม่พอใจจึงไปแจ้งความกับตำรวจ ปปป. ว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์จากข้าราชการกรมอุทยานแห่งชาติฯ ทั่วประเทศ



โดยครั้งนี้ ศาลมีคำสั่งให้โจทก์ ไปแก้คำฟ้องบางข้อที่ยังไม่สมบูรณ์ รวมถึงมีคำสั่งให้ ออกหนังสือสอบถามไปยังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อให้รายงานมายังศาล 4ประเด็น คือ

1.มูลเหตุการเข้าจับกุมนายรัชฎา ที่กรมอุทยานฯในวันที่ 27ธันวาคม ที่ผ่านมา

2.ชี้แจงขั้นการจับกุมว่ามีหมายค้นหรือหมายจับหรือไม่

3.การบันทึกภาพเสียงของชุดจับกุม มีการนำไปเผยแพร่หรือไม่ ซึ่งการนำไปเผยแพร่เกี่ยวกับการทำคดีหรือความลับทางราชการหรือไม่

4.เงิน98,000 บาทรวมทั้งพยานหลักฐานที่ยึดได้ในห้องทำงานที่ยึด ไปมีการบันทึกจับกุมไว้หรือไม่โดยให้ตำรวจทำรายงานส่งศาลภายใน 30 วันและนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาทางคดีในวันที่ 30 มีนาคม เวลา 09.30 น.



ขณะที่พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ปานแก้วผู้บังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ ปปป. บอกว่าเงินของกลางแม้ว่า นาย รัชฎาจะอ้างว่า เป็นเงินบริจาคตามโครงการต่างๆ แต่จากการรวบรวมพยานหลักฐานที่สามารถบอกได้ชัดเจนคือ เงิน 98,000 บาท มีพยานบุคคลให้การชัดเจนว่าเป็นเงินที่นำมาให้ในประเด็นใด และการเรียกสอบพยานบุคคล 14 ปาก ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานฯ ในจำนวนนี้มี 3-4 คน ที่ให้การเป็นประโยชน์ แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่กล้าให้การ เพราะจากหลักฐานที่พบบางซองมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับตัวพยาน แต่เชื่อว่าอีกไม่นาน ป.ป.ช. จะทำให้ความจริงปรากฏต่อสังคมและประชาชน และจะเป็นบรรทัดฐานของการดำเนินการ กับข้าราชการที่ทุจริตในหน้าที่

คุณอาจสนใจ

Related News