เกิดเหตุระทึกกลางกรุง ที่หน้าโรงพยาบาลศิริราช เมื่อตำรวจ สน.บางกอกน้อย ยิงยางรถเก๋งคันหนึ่ง หลังขับรถไปเฉี่ยวชนรถยนต์คันอื่นถึง 7 คัน พอเข้าไปตรวจสอบพบว่าเป็นโรคลมชัก จึงประสานรถกู้ชีพ ส่ง รพ.ศิริราช ล่าสุดตำรวจแจ้ง 2 ข้อหา

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นช่วงประมาณ 4 โมงเย็นวานนี้ (9 พ.ย.) รถยนต์เก๋งยี่ห้อเอ็มจี สีแดง รุ่นแซดเอส ขับไปชนท้ายรถเก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีออส สีเทา อยู่บริเวณแยกศิริราช แต่ไม่ยอมลงจากรถ ตำรวจ สน.บางกอกน้อยจึงเข้าไปเคาะกระจกเรียก แต่ระหว่างนั้นคนขับเกิดอาการชัก และไม่ยอมเปิดประตู จากนั้นมีพลเมืองดีเข้ามาช่วยเคาะกระจกเรียก ทำให้คนขับเร่งเครื่องขับฝ่าแยกไฟแดงไปทันที ก่อนจะไปหยุดที่หน้าโรงพยาบาลศิริราช และเฉี่ยวชนรถไปอีก 7 คัน

ทำให้ตำรวจตัดสินใจยิงยางรถเพื่อสกัดไป 2 นัด ทำให้รถจอดนิ่งที่หน้าร้านพูลทวีเภสัช ถนนวังหลัง มุ่งหน้าท่าน้ำศิริราช แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กทม. จากนั้นคนขับจึงยอมเปิดประตูรถและพบว่ามีอาการชักกระตุก จึงประสานรถกู้ชีพมารับไปรักษาอาการบาดเจ็บที่ รพ.ศิริราช

ล่าสุดทีมข่าวได้สอบถามไปยัง พันตำรวจเอกศ าสตรา อ่อนรัศมี ผู้กำกับการ สน.บางกอกน้อย เปิดเผยว่า แจ้งข้อกล่าวหาคนขับรถเอ็มจี สีแดง 2 ข้อหา คือขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นได้รับความเสียหาย และขับรถเฉี่ยวชนแล้วหลบหนี โดยผู้ก่อเหตุได้ใช้หลักทรัพย์ขอยื่นประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนตั้งแต่เมื่อวานนี้ และตำรวจก็อนุญาต จากการตรวจสอบประวัติผู้ก่อเหตุพบมีประวัติการรักษาโรคลมชักซึ่งเป็นโรคประจำตัวมานานหลายปีแล้ว ส่วนรายละเอียดต่างๆ อยู่ในสำนวนการสอบสวน

กรมควบคุมโรคเผยว่า มี 9 โรคที่ไม่ควรขับรถ คือ 1. โรคเกี่ยวกับสายตา เช่น ต้อหิน ต้อกระจก ประสาทตาเสื่อม 2. โรคทางสมองและระบบประสาท 3. โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ กล้ามเนื้ออ่อนแรง 4. โรคพาร์กินสัน 5. โรคลมชัก 6. โรคข้อเสื่อมข้ออักเสบ 7. โรคหัวใจ 8. โรคเบาหวาน 9. โรคความดันโลหิตสูง

สำหรับโรคลมชัก กรมการขนส่งทางบกร่วมกับแพทย์สภา กำหนดว่า ผู้ป่วยโรคลมชักหากจะทำใบขับขี่ หรือต่ออายุใบขับขี่ ต้องใช้ใบรับรองแพทย์ที่ออกสำหรับโรคลมชักเท่านั้น และผู้ป่วยต้องควบคุมอาการชักได้อย่างน้อย 1 ปี โดยเริ่มประกาศใช้มาตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564

สำหรับโรคลมชัก ข้อมูลจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ระบุว่า เกิดจากความผิดพลาดของระบบประสาทสมองส่วนกลาง ผิดปกติ จึงเกิดอาการชักขึ้นมา อาการที่พบบ่อยคือ เกร็งและชักกระตุก ระหว่างมีอาการผู้ป่วยจะไม่รู้สึกตัว 2-3 นาทีแล้ว จะหยุดเอง จึงต้องตั้งสติ อย่าตกใจ

ทีมข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุบริเวณแยกศิริราช ได้คุยกับแม่ค้าขายอาหารที่อยู่บริเวณปากซอยวังหลังซอย 5 บอกว่าขณะเกิดเหตุตกใจมากเพราะผู้ก่อเหตุขับรถชนมาตั้งแต่แยกศิริราชแล้วก็มาชนรถอีกคัน ในเวลาไล่เลี่ยกัน อยู่ห่างจากจุดแรกประมาณ 20 เมตร ตำรวจต้องใช้ปืนยิงเข้าที่ยางรถยนต์จึงจะหยุด

ส่วนตัวไม่แน่ใจว่าผู้ก่อเหตุจะเป็นลมชักจริงหรือไม่เพียงแต่เห็นว่าผู้ก่อเหตุมีลักษณะอ่อนเพลีย สอดคล้องกับแม่ค้าขายน้ำผลไม้ที่ไม่เชื่อว่าผู้ก่อเหตุจะเกิดอาการลมชักกำเริบ เพราะจากที่เห็นตั้งแต่ตอนขับรถมาจากแยกศิริราช ได้ขับรถชนรถคันอื่นอย่างเร็วและการขับก็ดูเหมือนคนมีสติทุกอย่าง

เช่นเดียวกับนายเริงชัย โพธิ์กุล พนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาลศิริราชที่เข้าไปช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจในการนำตัวชายผู้ก่อเหตุลงมาจากรถ บอกว่าเห็นผู้ก่อเหตุอยู่ในรถไม่พบว่ามีอาการชักเกร็งแต่อย่างใด แต่มีลักษณะเหมือนคนอ่อนเพลียเท่านั้น จึงไม่แน่ใจว่าจะป่วยเป็นลมชักกำเริบจริงหรือไม่

ส่วนบรรยากาศแยกศิริราชวันนี้ ยังคงมีรถสัญจรไปมาตามปกติ และมีตำรวจฝ่ายจราจรของ สน.บางกอกน้อยมาดูแลอำนวยความสะดวกเรื่องการจราจร เนื่องจากบริเวณนี้จะมีรถสัญจรเข้าและออกโรงพยาบาลศิริราชตลอดทั้งวัน