เลือกตั้งและการเมือง

'ธรรมนัส' ป้องอธิบดีกรมการข้าว ลั่นเป็นระดับรัฐมนตรี ปัดสมรู้ร่วมคิดคนรีดเงินล้านห้า

โดย nattachat_c

31 ม.ค. 2567

57 views

ธรรมนัส เดินทางมาให้กำลังใจ – ตบไหล่ อธิบดีกรมการข้าวสุดชื่นมื่น เผยโทรคุยกันทุกวัน ปัดสมรู้ร่วมคิด ถามกลับตนเป็นระดับรัฐมนตรีว่าการฯ จะไปรู้กับคนรีดเงินล้านห้าเนี่ย\นะ


กรณีที่ตำรวจ 4 ป. บุกรวบนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน หลังร่วมกับ นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และ น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรค รทสช. ข่มขู่ นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว โดยเรียกเงิน 3 ล้านบาท ก่อนเจรจาต่อรองเหลือ 1.5 ล้านบาท แลกกับการยุติเรื่องร้องเรียนโครงการสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการปลูกข้าว และโครงการปรับปรุงการผลิตสำหรับผู้ปลูกข้าว โดยอ้างว่าพบข้อพิรุธที่ส่อไปในทางทุจริต


เมื่ออธิบดีกรมการข้าวแถลงใกล้เสร็จ พบว่า ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำลังเดินเข้ามายังตึกของกระทรวงพอดี จึงได้เข้ามาให้ให้กำลังใจอธิบดีกรมการข้าว ก่อนให้สัมภาษณ์กับสื่อ


ช่วงนี้นักข่าวถามว่ามีอะไรอยากบอกอธิบดีกรมการข้าวหรือไม่ ร้อยเอกธรรมนัส หันไปแตะไหล่อธิบดีกรมการข้าว พร้อมบอกว่า คงไม่ต้องบอกอะไร เป็นนักรบ เป็นลูกพระเจ้าตากอยู่แล้ว // ก่อนจะบอกว่าสำหรับอธิบดีโจ ผมได้โทรคุยกันทุกวัน ถ้าวันไหนไม่คุยกันจะรู้สึกเหงา ไม่ต้องพูดอะไรมาก ส่วนคุณนายติ๋ม ภรรยาของอธิบดีก็พูดคุยกัน ก่อนจะหันหน้าไปถามอธิบดีการข้าวว่าใช่ไหม ?  // ซึ่งอธิบดีกรมการข้าวได้ยกมือไหว้ขอบคุณบอกว่า “ขอบคุณครับนาย ที่ให้กำลังใจกัน”


ส่วนกรณีที่มีการพาดพิงถึงร้อยเอกธรรมนัสว่ารู้เรื่องการรีดทรัพย์ทั้งหมดนั้น ร้อยเอกธรรมนัส บอกว่า “อยากถามกลับว่าสมรู้ในเรื่องอะไร และถ้าผมสมรู้จริงๆ ตนเองจะพูดคุยกับอธิบดีหรอ และระดับรัฐมนตรีว่าการฯ ไปสมรู้กับคนรีดเงินล้านห้าเนี่ยนะ พวกเราก็รู้นิสัยผมอยู่ว่าเป็นยังไง”


นอกจากนี้ ร้อยเอกธรรมนัส ยังกล่าวถึงมีการร้องเรียนครั้งแรกตั้งแต่ปีที่แล้ว ส่วนเรื่องร้องเรียนจะเท็จจริงอย่างไรต้องมีการตรวจสอบ และให้หน่วยงานที่ถูกร้องเรียนชี้แจง ซึ่งปลัดกระทรวงฯ ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแล้ว โดยเฉพาะเรื่องโครงการที่มีงบประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท พบว่า ไม่มีความผิด


ส่วนกรณีที่มีการนักร้องเรียนมาร้อง ตนยืนยันว่าต้องมีการตรวจสอบ ให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ไม่มีการทำงานตามกระแส ไม่ใช่เมื่อมีการร้องอธิบดีกรมต่างๆมาแล้วต้องปลด ตัวอย่างในอดีตก็มีให้เห็นเยอะแยะ โยกย้ายแล้วสุดท้ายโดน ม.157 ยืนยันว่าทำงานตามขั้นตอน ตามหลักกฎหมาย


เมื่อถามถึงกรมต่าง ๆในกระทรวงถูกร้องเรียนในลักษณะนี้อีกหรือไม่ ร้อยเอกธรรมนัส ระบุว่า ตนคิดว่ามีหลายกรมถูกร้องเรียน เพียงแต่ไม่มีใครเปิดหน้ามาปกป้ององค์ของเรา และมีอีกหลายกระทรวงที่รัฐมนตรีหลายท่านคุยกันบอกว่าโดนเหมือนกันแต่ไม่อยากให้เป็นประเด็น // แต่ในเมื่อกระทรวงเกษตรฯโดนแล้ว ตนในฐานะผู้บังคับบัญชา เรามีหลักไม่อย่างนั้นไม่สามารถบริหารบ้านเมืองได้ กระทรวงเกษตรฯ เป็นเรื่องของคน 50 กว่าล้านคน จะทำอะไรต้องละเอียดอ่อนอย่าทำตามกระแส


ตนเห็นนักหิวแสงทั้งหลาย พอเป็นประเด็นก็จุดประเด็นเป็นเรื่องเป็นราว คุณไม่รู้ข้อเท็จจริง และทุกวันนี้ก็ถูกฟ้องไปหลายคน ก่อนจะบอกว่า “เดี๋ยวจะชวนไปกินข้าวยำที่ตากใบ”


ส่วนกรณีนักการเมือง ป. ร้อยเอกธรรมนัส บอกว่า เขาเป็นอดีตเราอย่าไปยุ่ง ไปพาดพิงถึงเขา ชั่วโมงนี้ตนมาปัดเป่า มากวาด มาเช็ดบ้านหลังนี้ให้มันสะอาดเป็นสิ่งที่ก่อนที่เราจะมาเป็นอะไรก็แล้วแต่เราไม่วิพากษ์วิจารณ์ ตนเป็นนักการเมืองต้องให้เกียรตินักการเมืองด้วยกัน ไม่ใช่มานั่งตำแหน่งนี้แล้วมาซัดนักการเมืองคนเก่าแบบนี้ธรรมนัสไม่ทำ เพราะการเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองการจะพูดอะไรก็ต้องรับผิดชอบคำพูดตัวเอง


ส่วนกรณีที่อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตรถูกนายศรีสุวรรณ ร้องเรียนเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา เป็นการร้องเรียนอย่างเดียวหรือเป็นการตบทรัพย์ด้วยหรือไม่ ร้อยเอกธรรมนัส ระบุว่า เรื่องนี้ก็ได้ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ส่วนกรณีที่มีรายงานว่า อธิบดีกรมฝนหลวงถูกเรียกทรัพย์ในลักษณะเดียวกันกว่า 100 ล้านบาทนั้น ตนไม่ทราบและไม่มั่นใจเพราะไม่เคยเข้าไปยุ่งแต่เมื่อไหร่ที่ทราบว่าลูกน้องถูกรังแก แล้วไม่ผิด จะไม่ยอมปล่อยให้ลูกน้องตนเองถูกรังแก เพิ่งจะต้องบังคับใช้กฎหมายเป็นหลัก


เมื่อถูกถามว่าเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นกับรัฐบาลชุดก่อนทำไมถึงเพิ่งถูกร้อง ร้อยเอกธรรมนัส บอกสั้นๆเพียงว่าขอให้เอากลับไปคิดเอง


ส่วนกรณีที่อธิบดีกรมการข้าวกับภรรยาทำการ ล่อซื้อเข้าใจได้ว่าหากอธิบดีโดนคนเดียวคงไม่เป็นไร แค่อธิบดีไม่ยอมที่มีคนในครอบครัวถูกก้าวล่วง จึงอยากถามกลับ ว่าใครรับได้บ้างเมื่อมีคนไปยุ่งเรื่องครอบครัว เรื่องลูก เรื่องภรรยา มันเกินจะรับได้ เรื่องดังกล่าวขออย่าหลงประเด็นว่ากระทรวงเกษตรเป็นจำเลย ย้ำว่ากระทรวงเกษตรเป็นผู้ถูกกระทำ


พร้อมย้ำว่าเรื่องนี้ตนให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายข้าราชการหรือผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไม่ต้องเป็นห่วง แต่ถ้ามีใครพาดพิงถึงตนเอง ก็จะดำเนินคดีหมด เพราะตนเองไม่รู้เรื่องด้วย  พร้อมระบุเรื่องดังกล่าวที่เป็นประเด็นตนเองไม่ทราบว่ามีใครอยู่เบื้องหลัง


หลังจากให้สัมภาษณ์เสร็จ ก่อนที่ร้อยเอกธรรมนัสจะเดินขึ้นไปห้องทำงาน พบว่ามีการตบไหล่ให้กำลังใจอธิบดีกรมการข้าวด้วยอีกครั้งหนึ่ง

---------------

วานนี้ 30 ม.ค. 67 นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชพท.) ให้สัมภาษณ์ ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีการร่วมรับประทานอาหารระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา ว่า ตนไม่ได้ไปร่วมรับประทานอาหารด้วย แต่ตนได้มอบหมายให้นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรค ชพท. และนายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรค เข้าร่วมแทน ซึ่งขณะที่ร่วมรับประทานอาหารกัน ก็มีการโทรหาตนอยู่ ทุกอย่างเป็นไปตามปกติ เป็นการถามสารทุกข์สุกดิบเรื่องงาน ไม่ได้พูดคุยหารือการปรับ ครม. ตามที่เป็นข่าว เรื่องกระแสข่าวการปรับ ครม. นั้น ตนมองว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะรัฐบาลชุดนี้ก็ทำงานมา 4-5 เดือนแล้ว มีทั้งคนที่อยากให้ปรับและไม่อยากให้ปรับ สุดท้ายแล้ว ก็คงเป็นไปตามพรรคร่วมรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ที่จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะมีการปรับหรือไม่ แต่ตอนนี้ก็ยังยืนยันได้ว่า ในพรรคร่วมรัฐบาล หรือแม้แต่ในพรรค ชพท. ยังไม่ทราบข่าวแนวทางการปรับ ครม.


เมื่อถามถึงกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ที่ถูกจับกุมในคดีข่มขู่เรียกเงินอธิบดีกรมการข้าว โดยมีกระแสข่าวพาดพิงถึงอดีตรัฐมนตรี ป. ซึ่งอาจหมายถึง นายประภัตร โพธสุธน อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการพูดคุยกับนายประภัตรหรือไม่ว่า การทำงานของพรรค ชพท. ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เราจะให้เกียรติการทำงานของทุกคนในพรรค และในการประชุมพรรคทุกวันอังคาร คนที่รัฐมนตรีของพรรคก็จะ นำความคืบหน้าและการทำงานของกระทรวงตัวเอง รวมถึงปัญหาต่างๆ มาพูดคุยในพรรค ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ เรายังไม่ได้รับข่าวจากทางนายประภัตร แต่ความจริง ข่าวที่ออกมา ก็มีอักษรย่อมากมาย แต่ถ้าจะให้ชัดเจนที่สุด คือฟังจากปากเจ้าตัว เพราะพรรค ชพท. เน้นการทำงานที่รวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบได้ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุขึ้นมา ถ้ายังไม่มีการชี้ชัด ก็ถือเป็นส่วนหนึ่ง แต่ถ้ามีข้อสงสัยอย่างไร ก็เป็นหน้าที่ของบุคคลนั้นจะชี้แจงให้สาธารณะชนรับทราบ


เมื่อถามว่า มั่นใจว่าไม่เกี่ยวข้องกับคนในพรรคใช่หรือไม่ นายวราวุธกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องให้เจ้าตัวพูดเอง น่าจะชัดเจนที่สุด ตนพูดก็ไม่เหมือนกัน


เมื่อถามว่า จะมีการพูดคุยกับเลขาธิการพรรคในเรื่องนี้หรือไม่ นายวราวุธกล่าวว่า บ่ายนี้จะมีการประชุมพรรค คงมีการสอบถามกันว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร สื่อควรสอบถามเลขาธิการพรรคเองจะดีที่สุด

--------------

วานนี้ (30 ม.ค.67)พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยกรณีนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำเอกสารแชทระหว่าง “นายเอก” และ “นายธนดล” มามอบให้กับตนเอง ระบุว่า เรื่องนี้ยังไม่มีการหารือ เนื่องจากนายธนดลตอนแรกประสานจะเข้ามาพร้อมกับนายอัจฉริยะ แต่ติดภารกิจไม่ได้เข้ามา จึงมีการนัดหมายเจรจากันในภายหลัง พร้อมกับยืนยันว่า นายธนดล ไม่ใช่ ”หมู“ ที่นายอัจฉริยะเคยบอกว่าเป็นตัวกลางพาอธิบดีและภรรยาไปที่บ้านนายศรีสุวรรณ โดยนายหมู มีชื่อจริงว่า ”สุธี“ เป็นที่ปรึกษาอีกคนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ


โดยนายหมู ไม่ได้มีบทบาทอะไรในคดี แต่เมื่อมีเรื่องร้องเรียนเกิดขึ้นในกระทรวงเกษตรฯ ก็เชื่อว่าผู้บังคับบัญชาใช้ให้เคลียร์ปัญหา ซึ่งผู้บังคับบัญชาก็คงอยากแค่ให้เคลียร์ให้จบ โดยไม่ได้ดูในรายละเอียดว่าจะทำอย่างไร ซึ่งภรรยาของอธิบดียืนยันกับตำรวจว่านายหมูไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการตบทรัพย์ แต่ตำรวจก็ยังไม่ปักใจเชื่อ ยังต้องมีการขยายผล ซึ่งจะมีการเชิญนายหมูเข้ามาให้ปากคำในสำนวนด้วย โดย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ไม่ขอตอบในรายละเอียดของการเจรจาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 ว่ามีการจ่ายเงินในวันดังกล่าวด้วยหรือไม่ บอกว่าขอสงวนไว้ก่อน


พร้อมยืนยันว่า นายธนดล ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคดี แต่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ให้มาตรวจสอบเรื่องนี้ โดยเชื่อว่านายธนดลมีข้อมูลที่จะนำเข้ามาพูดคุยกับตนเอง


พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เปิดเผยอีกว่า นอกจากกรณีของอธิบดีกรมการข้าว ล่าสุดมีข้าราชการการเมืองที่มีชื่อเสียงติดต่อเข้ามา เพื่อจะแจ้งความหลังถูกกลุ่มของนายศรีสุวรรณเรียกรับผลประโยชน์ในลักษณะเดียวกัน โดยยังไม่ได้พูดคุยในรายละเอียดแต่มีการประสานจะเข้าพบ


ส่วนกรณีที่ปรึกษากฎหมายของอธิบดีกรมการข้าว กังวลปมนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ ”เจ๋ง ดอกจิก“ ถูกปลดจากคณะทำงานเขตตรวจราชการที่ 11 ของรองนายกฯ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 จะไม่เข้าข่ายเป็นเจ้าหน้าที่รัฐขณะเรียกรับผลประโยชน์แล้วทำให้ข้อหาอ่อนลงนั่น // พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยอมรับว่า หากมีคำสั่งปลดก่อนเรียกรับผลประโยชน์จริง นายยศวริศ จะไม่เข้าข่ายเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่เบื้องต้นยังไม่เห็นคำสั่งปลด และก่อนที่จะมีการออกหมายจับได้รับการยืนยันจาก ป.ป.ช. แล้วว่านายยศวริศ มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐในขณะกระทำความผิด หากมีคำสั่งปลดจริง ก็จะต้องตรวจสอบเอกสารให้ชัดเจน


อย่างไรก็ตาม ในขบวนการนี้ มีคนที่เข้าข่ายเป็นเจ้าหน้าที่รัฐแน่ๆ ขณะเรียกรับผลประโยชน์ คือ น.ส. พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ หรือ “ตูน” ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะทำงานเขตตรวจราชการที่ 11 ของรองนายกฯ เช้าวันที่ 26 มกราคม 2567 ก่อนมีการล่อซื้อที่บ้านนายศรีสุวรรณ เพราะเป็นคนเจรจานัดหมายในการวางเงินวันนั้น // ซึ่งเมื่อมีหนึ่งคนเข้าข่ายเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ร่วมขบวนการก็ต้องเข้าข่าย “สนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐฯ” ซึ่งตามกฎหมายจะต้องรับโทษ 2 ใน 3


เมื่อถามว่าการทำคดีนี้ กลัวจะเป็นการล้มยักษ์หรือเปล่า เพราะเริ่มมีรายงานข่าวผู้ใหญ่โทรเบรกทางฝั่งที่ปรึกษากฎหมายของอธิบดี // พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า ไม่กลัว พร้อมชี้ต้องใช้คำว่าท้าวเวสสุวรรณหรือว่ารูปปั้นยักษ์หน้า บก.ปปป. ว่า ตัวใหญ่กว่า / พร้อมบอกว่าอยากเจอหัวหน้ายักษ์ เพราะเชื่อว่ายักษ์จะตัวใหญ่แค่ไหนก็สู้ความจริงไม่ได้

----------------

วานนี้ (30 ม.ค.67) รายงานข่าวจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เปิดเผยว่า ในการประชุมครม.วันที่ 30 ม.ค. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นประธานการประชุม ได้สั่งการต่อที่ประชุม 4 เรื่อง แต่ระหว่างการสั่งการในเรื่องที่ 3 ใกล้แล้วเสร็จ นายกฯได้พูดถึง ประเด็นที่กำลังเป็นข่าวเรื่องราว การจับกุมกลุ่มนักร้องเรียน ที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาพยายามไป รีดทรัพย์ อธิบดีกรมการข้าวขึ้นมาว่า จากเหตุการณ์ที่ปรากฎในสื่อ เรื่องนี้จะต้องมีการตรวจสอบ และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ต่อมาได้เข้าสู่ ข้อสั่งการเรื่องที่ 4 จนเสร็จสิ้น


ทำให้ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ พูดขึ้นมาว่า เรื่องที่เกิดขึ้น ได้มีการตั้งกรรมการตรวจสอบแล้ว ทั้งนี้ เมื่อ ร.อ.ธรรมนัส พูดจบลง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.พลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พูดขึ้นมาทันทีด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในทำนองว่า การจับกุมในทำเนียบรัฐบาล ไม่ถูก ที่นี้เป็นหน้าเป็นตารัฐบาล ไม่ให้เกียรติสถานที่ ทำไมตอนเช้าไปจับกุม(นายศรีสุวรรณ จรรยา) ตำรวจยศนายพล นำกำลังไปจับกุม พอช่วงบ่ายที่จับกุม(นายยศวริศ ชูกล่อม) ตำรวจยศ พันตำรวจเอก มาจับกุม ทั้งที่ตำรวจก็ตามมาจากบ้าน ตั้งแต่เช้าแล้ว ทำไมไม่ไปจับกุมตั้งแต่ตอนนั้น


และพูดต่อว่า เรื่องนี้เราอย่าหลงประเด็น ใครผิด ใครถูก ต้องตรวจสอบให้หมดทุกฝ่าย นายกฯก็เป็น ผู้บังคับบัญชาของตำรวจ เรื่องนี้ถือว่า ไม่เหมาะสม ไม่ให้เกียรติสถานที่


ในช่วงที่ นายพีระพันธุ์ กำลังพูดจนกระทั่งพูดจบ ไม่มีรัฐมนตรีคนอื่น นำเสนอความคิดเห็นอื่น โดยรัฐมนตรีบางคน กำลังอ่านวาระประชุม บางคนก้มดูโทรศัพท์มือถือ เมื่อไม่มีการนำเสนอความเห็นเพิ่มเติม นายกรัฐมนตรี ได้หันไปทาง เลขาครม.เพื่อให้ดำเนินเข้าวาระการประชุมตามปกติ ต่อไป โดยนางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม ในฐานะวิปครม. นำเสนอวาระ กฎหมายประมง และได้ดำเนินตามวาระครม.เรื่องอื่นๆ จนจบการประชุมครม.


ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการประชุม ครม. นายพีระพันธุ์ ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีที่มีการลงนามในเอกสารคำสั่งให้นายยศวริศ หรือ เจ๋ง ดอกจิก ออกจากคณะทำงานตั้งแต่เดือน ธ.ค.66 ความชัดเจนเป็นอย่างไร และสามารถระบุวันที่ให้ออกจากตำแหน่งได้หรือไม่ว่า “ผมไม่รู้เรื่อง เรื่องนี้ไม่ยุ่ง”


เมื่อถามย้ำว่า สามารถระบุวันที่ให้พ้นจากคณะทำงานได้หรือไม่ นายพีระพันธุ์ ไม่ตอบ และเดินขึ้นห้องประชุม ครม.ทันที

--------------
วานนี้ (30 ม.ค.67) นายสัญญา นิลสุพรรณ สส. นครสวรรค์ พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ได้ลงนามในหนังสือให้นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ “เจ๋ง ดอกจิก” พ้นจากตำแหน่ง ที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการแล้วตั้งแต่วันนี้ ตามที่พรรครวมไทยสร้างชาติส่งสัญญาณ หลังจาก "เจ๋ง ดอกจิก" ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อกล่าวหาร่วมกับนายศรีสุวรรณ จรรยา เกี่ยวข้องกับการข่มขู่เรียกเงินอธิบดีกรมการข้าว 3 ล้านบาท // ส่วน น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ อดีตผู้สมัคร สส.รวมไทยสร้างชาติ นายสัญญากล่าวว่า ไม่ได้เป็นที่ปรึกษาประธานแต่อย่างใด


ต่อมานายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ แถลงภายหลังประชุม สส. และกรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติว่านายสัญญา นิลสุพรรณ สส. นครสวรรค์ พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน สภาผู้แทนราษฎรได้ลงนามให้ นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ “เจ๋ง ดอกจิก” พ้นจากตำแหน่ง ที่ปรึกษาประธาน กรรมาธิการกิจการศาลฯแล้ววานนี้ (30 ม.ค.67)


ขณะที่ประชุมกรรมการบริหารพารคได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ อดีตผู้สมัคร สส.รวมไทยสร้างชาติ แต่ น.ส.พิมณัฏฐา ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติวานนี้ (30 ม.ค.67) กรรมการจึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ


พร้อมกันนี้พรรคยังสั่งการให้ตรวจสอบคณะทำงานของคณะรัฐมนตรีและประธานกรรมาธิการ โดยภายในการประชุมพรรคครั้งหน้า ให้ส่งรายชื่อให้นายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์เลขาธิการพรรค รวมไทยสร้างชาติ เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติว่า ไปกระทำการอันใดที่สร้างความเสียหายให้กับพรรคหรือไม่ ยืนยันว่า พรรคจะไม่มีการปกป้องคนผิด เบื้องต้นยังไม่พบ สมาชิกบุคคลอื่นนอกเหนือจาก 2 คนที่มีความเชื่อมโยงกับข้อกล่าวหาข่มขู่เรียกเงินอธิบดีกรมการข้าว 3 ล้านบาท หากมีเพิ่มเติม ผู้บริหารพรรค ยืนยันชัดเจนว่าจะไม่ปกป้องคนผิด หากมีข้อมูลก็พร้อมที่จะส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี พร้อมระบุไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง แต่มองเป็นเรื่องความบังเอิญ ที่จับตัว เจ๋ง ดอกจิก ที่ทำเนียบรัฐบาล ไม่อยากให้มองเป็นเรื่องการเมือง หรือเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่มองเป็นความผิดทางอาญาส่วนบุคคล ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตามกฎหมายหากวันดังกล่าว เจ๋ง ดอกจิก อยู่ที่รัฐสภาก็ต้องไปจับที่รัฐสภา


ส่วนที่สังคมสงสัยว่า ให้ เจ๋ง ดอกจิก พ้นจากตำแหน่งคณะทำงานตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 แต่ยังปรากฏภาพ เจ๋งดอกจิก เข้าร่วมประชุม คณะทำงานตรวจราชการคณะ 11 ว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค ได้ชี้แจงชัดเจนแล้ว ว่าต้องการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนให้คนอื่นเข้ามาทำงาน จึงให้เจ๋ง ดอกจิก พ้นจากตำแหน่ง สำหรับ เรื่องเอกสาร ที่เกี่ยวข้องกับคดี ปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ เพราะมีผลต่อรูปคดี


ส่วนใครเป็นคนเชิญ เจ๋ง ดอกจิก เข้ามาทำงาน นายอัครเดชเลี่ยงที่จะตอบว่าใครเป็นคนชวนมา


เมื่อถามว่าได้พูดคุยกับคนที่นำเจ๋ง ดอกจิก เข้ามาที่พรรคบ้างหรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า เมื่อวานนี้ (30 ม.ค.67) ได้สอบถาม เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่ยังไม่ได้ชี้แจงเรื่องนี้ คงจะมีการสอบถามอีกครั้งว่าใครเป็นคนพา เจ๋ง ดอกจิก เข้ามา ในพรรค แต่เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า เจ๋ง ดอกจิก เคยเป็นแกนนำเสื้อแดง และกลับใจในนามกลุ่มคนไทยรักชาติ และส่วนตัวไม่ได้รู้จัก เจ๋งดอกจิก แต่เคยเจอกันที่สภา


ส่วนการปลดให้พ้นจากคณะทำงาน เป็นเพราะมีการร้องเรียนบุคคลทั้งสองเข้ามาที่พรรคหรือไม่ นายอัครเดชกล่าวว่า ไม่มีเลย และพรรคไม่ได้ระแคะระคาย ถ้ามี ก็คงดำเนินการ หัวหน้าพรรคคงไม่ปล่อยไว้แน่นอน เพราะขณะนี้พอทราบเรื่อง ก็ได้ยกเลิกคำสั่งทันที เพราะฉะนั้นยืนยันได้ว่า เรื่องนี้เป็นพฤติกรรมส่วนบุคคล อย่างไรก็ตามพรรครวมไทยสร้างชาติมี 6 หมื่นกว่าคน ก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ซึ่งเป็นเรื่องปกติของทุกพรรคการเมืองที่เป็นแบบนี้ แต่สิ่งที่สำคัญคือความรับผิดชอบของพรรคการเมือง และผู้บริหารพรรค เมื่อทราบเรื่อง ก็ให้พ้นจากตำแหน่งทันที เพื่อให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พิสูจน์ตัวเอง เราไม่มีที่จะมายื้อ แสดงให้เห็นความจริงใจ ในการไม่ปกป้องคนผิดและ สนับสนุนให้ตำรวจดำเนินการ ตามกฎหมายอย่างเต็มที่


เมื่อถามว่าที่ประชุมพรรคว่าได้มีการวิเคราะห์หรือไม่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า เท่าที่ดูเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการเมืองเลย


พร้อมกันนี้ในการแถลงข่าวนายอัครเดช ยังได้นำเอกสารมาแสดงให้สื่อมวลชนดู ประกอบด้วย เอกสารที่นายสัญญา นิลสุพรรณ สส. นครสวรรค์ พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน สภาผู้แทนราษฎร ได้ลงนามในหนังสือให้นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก พ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการ ตั้งแต่เมื่อวานนี้ (30 ม.ค.67) และใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ของ น.ส.พิมณัฏฐา ที่ขอลาออกเช่นกัน


ด้านนายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค รวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า ได้มีการแก้ไขปัญหา เรื่องนี้เรียบร้อยแล้วโดยในสัปดาห์หน้า สส. และรัฐมนตรีจะส่งรายชื่อบุคคลที่แต่งตั้งเป็นคณะทำงานมาให้ตรวจสอบ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างทยอยส่ง ถ้าตรงไหนมีการตั้งข้อสังเกตก็จะเร่งตรวจสอบให้เร็วที่สุด


เมื่อถามถึงบุคคลที่ชักนำนายเจ๋งดอกจิกให้เข้ามาร่วมงาน นายเอกนัฎ กล่าวปฏิเสธว่าขอไม่ไปตรงจุดนั้น ปัญหาอยู่ตรงไหน ก็จะไปแก้ตรงนั้น

-------------



รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/H-V6Lt2qtmI

คุณอาจสนใจ

Related News