เลือกตั้งและการเมือง
‘เรืองไกร’ ร้อง กกต. ตรวจสอบ รมว.ท่องเที่ยวฯ ทำนิติกรรมอำพราง ขายหุ้นแต่ไม่ได้รับเงิน
25 ก.พ. 2567
233 views
‘เรืองไกร’ ร้อง กกต. ตรวจสอบ รมว.ท่องเที่ยวฯ มีเหตุต้องพ้นจากรัฐมนตรีเฉพาะตัวหรือไม่ ชี้เข้าข่ายทำนิติกรรมอำพราง ขายหุ้นแต่ไม่ได้รับเงิน
เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2567 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า วันนี้ได้ส่งหนังสือถึงประธาน กกต. ทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้ตรวจสอบนางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ว่ายังคงเป็นหรือคงไว้ซึ่งการเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ที่อาจเข้าข่ายกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 187 หรือไม่ และจะเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่ ดังนี้
ข้อ 1. นางสาวสุดาวรรณ ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน รวมทั้งรายได้ ต่อ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ วันที่ 4 กรกฎาคม 2566 โดยแจ้งรายการซื้อขายหุ้นแต่ยังไม่ได้รับเงิน ไว้ดังนี้ มีรายได้จากการขายหุ้นแต่ยังไม่ได้รับเงิน 459,364,000 บาท มีเงินให้กู้ยืมเป็นลูกหนี้สัญญาซื้อขายหุ้น 5 ราย รวม 459,364,000 บาท
ข้อ 2. ต่อมาเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566 นางสาวสุดาวรรณ ได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งไม่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อ ป.ป.ช. ในฐานะรัฐมนตรีอีกกรณี จึงควรใช้บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน รวมทั้งรายได้ ที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาเป็นข้อมูลในการตรวจสอบรายได้จากการขายหุ้นแต่ยังไม่ได้รับเงินแต่ตั้งเป็นลูกหนี้ไว้ ว่านางสาวสุดาวรรณ ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ขายหุ้นดังกล่าวจริงหรือไม่ เพราะเหตุใดการขายหุ้นจึงไม่ได้รับชำระเงินเลย และทำไมจึงแจ้งเป็นเงินให้กู้ยืม (ลูกหนี้สัญญาซื้อขายหุ้น) ด้วยจำนวนที่เท่ากัน คือ 459,364,000 บาท
ข้อ 3. หาก กกต. ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วมีเหตุอันควรสงสัยว่า ณ วันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี การซื้อขายหุ้นดังกล่าวยังไม่ได้ชำระเงินซึ่งมีจำนวนสูงมากนั้น จะเข้าข่ายเป็นการทำนิติกรรมอำพรางการถือหุ้นไว้ให้อยู่ในความครอบครองหรือดูแลของบุคคลอื่นไม่ว่าในทางใดๆ ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 วรรคสี่ หรือไม่ จะถือได้ว่า นางสาวสุดาวรรณ ยังคงไว้ซึ่งความเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งหากถือเกินร้อยละห้าของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว ก็ต้องตรวจสอบต่อไปว่าเข้าข่ายกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 187 วรรคหนึ่ง หรือไม่ อันจะเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่
ข้อ 4. เนื่องจากนางสาวสุดาวรรณได้แสดงรายการหนี้สินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือไว้ด้วย รวมเป็นเงิน 193,725,000 บาท โดยมี 3 รายการ ซึ่งกู้จากนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล 2 รายการ และ กู้จากนางยลดา หวังศุภกิจโกศล 1 รายการ ที่มีคำอธิบายระบุไว้ว่า เป็นเจ้าหนี้สัญญาซื้อขายหุ้น วันที่ทำสัญญา คือ 17 ก.ค. 62 ดังนั้น เพื่อให้การตรวจสอบครบถ้วนรอบด้าน จึงขอให้ กกต. นำข้อมูลบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนายวีรศักดิ์และนางยลดา ที่ยื่นไว้ต่อ ป.ป.ช. ทุกครั้ง มาประกอบการตรวจสอบเพื่อให้ทราบถึงรายการเคลื่อนไหวด้านเดบิทหรือเครดิตทางบัญชี หรือรายการรับ-จ่ายทางการเงิน (ถ้ามี) เกี่ยวกับการการซื้อขายหุ้นหรือจำหน่ายจ่ายโอนหุ้น หรือเปลี่ยนแปลงการถือครองหุ้นดังกล่าวด้วยว่า มีที่มาที่ไปอย่างไร และมีความเกี่ยวข้องกับการเป็นรัฐมนตรีของวีรศักดิ์มาก่อนด้วยหรือไม่
แท็กที่เกี่ยวข้อง เรืองไกร ,กกต. ,รมว.ท่องเที่ยวฯ ,ทำนิติกรรมอำพราง