สังคม

หมัดต่อหมัด! ‘บิ๊กโจ๊ก’ ยันบริสุทธิ์ 100% ซัด ตร.เบอร์ใหญ่อย่าเป็นอีแอบ - ‘บิ๊กเต่า’ แฉกลับตำรวจสีดำ สร้างภาพเป็นเทวดา

โดย petchpawee_k

23 ก.พ. 2567

451 views

'บิ๊กโจ๊ก' ยันบริสุทธิ์ 100 % ยังไม่ถูกแจ้งจ้อหา ม.157-149 ยินดีให้สอบข้อมูลแม่ปมเส้นเงินโยงเว็บพนัน พร้อมฝากตำรวจอย่าเหิมเกริม ออฟไซด์ ขอให้แข่งกันทำงาน ตำรวจเบอร์ใหญ่อย่าเป็นอีแอบ ออกชี้มาแจงบ้าง 

วานนี้ (22 ก.พ.) พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงกรณีที่ปรากฏข่าวว่าถูกตำรวจสอบสวนกลางร้องทุกข์กล่าวโทษในความผิดตามมาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กับมาตรา 149 เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบ เนื่องจากมีพยานหลักฐานเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์พนันออนไลน์นั้น


พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ได้เริ่มจากการตั้งข้อสังเกตเรื่องการขอออกหมายค้นบ้านตนเองที่มีการปกปิดข้อเท็จจริงต่อศาลว่าเป็นบ้านของนายตำรวจระดับสูง รวมถึงการออกหมายจับลูกน้อง 8 คน ที่ไม่ระบุยศ และไปขออนุมัติหมายค้นและหมายจับจากศาลอาญากรุงเทพใต้ แทนที่จะเป็นศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มิฉะนั้นศาลจะไม่อนุมัติ แต่กรณีดังกล่าวศาลได้พิจารณาแล้วว่าเป็นการออกหมายโดยชอบตามข้อมูลที่ได้รับ


รวมทั้งกรณีที่เร็วๆ นี้มีกระแสข่าวว่าตำรวจไซเบอร์ได้ออกหมายเรียกให้ตนมารับทราบข้อกล่าวหานั้น ล้วนเป็นกระบวนการจงใจทำให้ตัวเองเสื่อมเสียชื่อเสียงเพื่อเป้าหมายใหญ่ในระยะยาว


 พร้อมยืนยันว่า ตนเองยังไม่ได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเพียงการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ ป.ป.ช.ที่เป็นการตั้งข้อสังเกตเท่านั้น ต้องมีกระบวนการพิจารณาว่ามีมูลหรือไม่ โดยจะต้องแสวงหาพยานหลักฐาน และไต่สวน หากมีมูลจึงจะมีการแจ้งข้อกล่าวหา และตนเองก็เป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีการชี้มูลความผิด พร้อมขอให้สื่อแก้ไข มิฉะนั้นจะดำเนินการตามกฎหมาย


ขณะที่สำนวนคดีนี้ได้ส่งไปที่ ป.ป.ช.ตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2566 เชื่อว่าที่ ป.ป.ช.ไม่ส่งสำนวนกลับมาให้ตำรวจ เพราะ ป.ป.ช.รู้ว่าเป็นการทะเลาะกันเองของตำรวจจึงไม่อยากยุ่ง ดังนั้น การแถลงว่าจะขอเอาสำนวนมาให้ตำรวจโดยอ้างว่าได้ดำเนินการไปมากแล้วนั้น ตนเองเป็นใคร ยศอะไร ถือเป็นการกดดัน ดูถูกการทำงานของ ป.ป.ช.หรือไม่ ซึ่งระบบการไต่สวนของ ป.ป.ช. ที่เป็นหน่วยงานตรวจสอบทุจริตโดยตรง มีความรอบคอบรัดกุมมากกว่าระบบกล่าวหาของตำรวจ อีกทั้งตามระเบียบแล้วก็ต้องยึดสำนวนที่ ป.ป.ช.ไต่สวนเป็นหลัก ไม่มีระเบียบที่กำหนดว่าให้ยึดสำนวนของตำรวจเป็นหลัก


อีกทั้งการดำเนินคดีที่มีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 300 ล้านบาทนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสำนวนจะดำเนินการโดยหน่วยงานใดตนเองก็ไม่ขัดข้อง ขอเพียงแต่ขอให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามกระบวนการ พร้อมขอเตือนให้เจ้าหน้าที่รุ่นใหม่ทำคดีด้วยความระมัดระวัง ตรวจสอบว่ามีอำนาจในการดำเนินการหรือไม่ มิฉะนั้นจะติดคุกกันหมด เพราะตนเองได้ขุดหลุมพรางไว้แล้ว รวมทั้งเรื่องสำนวนการสอบสวนที่ถูกเปิดเผยนั้นก็เป็นเรื่องที่ผิดพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารเรื่องการรักษาความลับทางราชการด้วย


ขณะที่การชี้แจงเรื่องเส้นทางการเงินที่มีการพาดพิงว่าไปเชื่อมโยงกับบัญชีม้าเว็บไซต์พนันออนไลน์นั้น พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ยืนยันว่าไม่มีเส้นทางการเงินจากบัญชีมาเชื่อมโยงไปยังตนเองแม้แต่เส้นเดียว แต่หากลูกน้องกระทำผิด ก็ต้องตรวจสอบและให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ถึงแม้ก่อนหน้านี้ตนเองจะเคยกล่าวว่าเป็นไปไม่ได้ที่ลูกน้องกระทำผิดแล้วหัวหน้าจะไม่รู้เรื่องนั้น ยอมรับว่าตนเองไม่สามารถรับรู้ได้ทุกเรื่องว่าผู้ใต้บังคับบัญชามีพฤติการณ์อย่างไร แม้จะทำงานด้วยกันมาเป็น 10 ปี


ซึ่งกรณีของพันตำรวจโทคริษฐ์ ปริยะเกตุ ที่พบเส้นทางการเงินจากเว็บพนันเชื่อมโยงไปยังบัญชีม้าที่พันตำรวจโทคริษฐ์ถือและใช้ โดยพบโอนเงิน ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันไปยังญาติของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่นั้นก็ได้มีการตำหนิไปแล้วแต่ไม่มีอำนาจลงโทษเนื่องจากไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาโดยตรง และตนเองก็มีผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องการเงิน และขณะนี้พันตำรวจโทคริษฐ์ ก็ถูกดำเนินคดีเรื่องบัญชีม้าแล้ว แต่หากใช้บัญชีม้าจริงก็ต้องรับผิดไป แต่ก็ต้องไปตรวจสอบเพิ่มเติมว่ามีความเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์พนันออนไลน์อย่างไร และยืนยันไม่มีการตัดตอนใคร ว่าไปตามจริง


กรณีที่ตำรวจจะเรียกแม่ตัวเองมาสอบปากคำเพิ่มเติมก็ยินดี รวมทั้งกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ตนเองนำเงินไปทำบุญจำนวนมากเพื่อเลี่ยงภาษีนั้นไม่เป็นความจริง แต่ยอมรับว่ามีการทำบุญหลาย 10 วัด ชี้แจงได้หมดไม่มีการเลี่ยงภาษี ส่วนประเด็นเรื่องการร่ำรวยผิดปกตินั้นก็ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบแล้วทุกปี


พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ยังกล่าวอีกว่า ยังมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกหลายคนที่รับเงินจากเว็บไซต์พนันออนไลน์กว่า 100 ล้านบาท และใช้เงินจากบัญชีม้า ทำไมไม่ไปดำเนินการ เหตุใดจึงพุ่งเป้ามาที่ตนเองคนเดียว มาปัดแข้งปัดขากันอยู่ทำไม ซึ่งหากมอบหมายให้ตนเองปราบเว็บพนันออนไลน์ มั่นใจว่า 7 วันก็สามารถปราบได้หมด พร้อมฝากไปถึงตำรวจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าให้แข่งกันทำงานดีกว่า อย่าอิจฉาริษยา เรื่องรุ่นไม่เกี่ยว ยศตำแหน่งขึ้นอยู่กับบุญวาสนาของแต่ละคน ซึ่งบางคดีไม่มีคนทำ ตนเองต้องทำแทนจนมีผลงานมากมาย เชื่อว่าหากตนเองลงสมัคร ส.ส.ภาคอีสานก็ได้รับเลือกอย่างแน่นอน


พร้อมขอเรียกร้องให้นายตำรวจระดับพลเอกหรือพลโทเป็นผู้ออกมาให้ข้อมูลบ้าง อย่าเป็นอีแอบ ปอดแหกให้ลูกน้องออกมาตายอย่างเดียว ขอให้เอาเบอร์ใหญ่ๆ ออกมาขี้แจงบ้าง วันนี้จึงได้มอบหมายให้ทนายความได้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวนกว่า 200 คน รวมทั้งพลตำรวจเอกอีก 2 คนซึ่งยังรับราชการตำรวจอยู่


อย่างไรก็ตาม พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ยืนยันว่า ไม่ได้มีความสนิทสนมกับ ป.ป.ช. และไม่ได้มีความประสงค์ที่จะประสานให้ ป.ป.ช.รับสำนวนคดีดังกล่าวไปดำเนินการเพื่อให้ตนเองมีทางรอด และไม่ได้มีการประสานไปยังผู้ใหญ่เพื่อให้เคลียร์เรื่องนี้ ที่เห็นตนเองไปอยู่ใกล้ๆ บ้านจันทร์ส่องหล้าเมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมาก็ไปดูแลงานด้านความมั่นคงเท่านั้น ไม่ได้เข้าไปในบ้าน และไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไร


ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ก่อนการแถลง ทันทีที่พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์มาถึงสโมสรตำรวจ นักข่าวถามว่า เมื่อคืนนอนหลับไหม พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์บอกนอนหลับดี แต่นักข่าวแซวว่า หน้าดูเหนื่อยๆ นะ แต่พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ บอก ไม่เหนื่อย หลับสบายดี ก่อนจะเข้าไปประชุมวีดีโอคอนเฟอร์เรนท์กับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
-------------------------------------------------------------

 'บิ๊กเต่า' ชี้แจงมีอำนาจสอบสวนและให้ข่าวคดีเว็บพนันมินนี่ตามคำสั่งแต่งตั้งของ สตช. โดยชอบ ไม่เกี่ยวกับเรื่องชั้นยศ  ยืนยันตำรวจมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ เพราะมูลค่าเว็บมินนี่แค่ 70 ล้านบาท  ย้ำทำตามพยานหลักฐาน ไม่มีเบื้องหลัง แต่สงสารตำรวจที่ขึ้นเรือผิดลำ 


 พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในฐานะโฆษกคณะพนักงานสอบสวนคดีเว็บพนันมินนี่ ตอบคำถามสื่อมวลชนจากกรณีที่พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ บิ๊กโจ๊ก แถลงข่าวโต้กลับจากการให้สัมภาษณ์เรื่องการร้องทุกข์กล่าวโทษนายตำรวจ 5 นายเพิ่มเติมในคดีเว็บพนันมินนี่


พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ กล่าวว่า เรื่องของอำนาจการสอบสวนแม้ยศของตนเองจะต่ำกว่านั้น เป็นอำนาจตามคำสั่งที่ตนได้รับการแต่งตั้งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เป็นรองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนวนคดีนี้ รวมถึงมีการลงความเห็นให้ตนเป็นโฆษกของคดีด้วย โดยการที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตั้งคณะทำงานขึ้นมา ถือเป็นคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย


ส่วนกรณีที่อีกฝ่ายบอกว่า คดีนี้มีมูลฐานความผิดฟอกเงินมากกว่า 300 ล้านบาท จึงต้องเป็นคดีพิเศษ เป็นอำนาจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ไม่ใช่อำนาจของตำรวจนั้น พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ชี้แจงว่า จำนวนเงิน 200-300 ล้านบาทที่เป็นยอดรวมนั้น เป็นเงินจากหลายเว็บที่เชื่อมโยงกัน แต่ก็ถือเป็นคนละกรณีกัน โดยในส่วนของเว็บมินนี่ มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 70 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งยังอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะพนักงานสอบสวน


ส่วนเรื่องพยานหลักฐานในการตั้งข้อหานั้น พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ บอกว่า “ไม่อยากจะพูดแล้ว” ขอให้ไปพูดกันในศาล ศาลเท่านั้นที่จะตัดสินได้ว่าถูกหรือผิด และการที่ตำรวจทำคดี สุดท้ายก็ต้องไปถึงศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ซึ่งก็ใช้ระบบไต่สวนเหมือนกัน และบอกอีกว่า โดยพื้นฐานคนทั่วไป ไม่ค่อยมีใครอยากให้คดีเข้าไปที่ดีเอสไอ หรือ ป.ป.ช. เพราะมีการตรวจสอบเข้มข้น เจาะข้อมูลเชิงลึก ส่วนใหญ่คนจะชอบให้คดีอยู่กับตำรวจ เพราะอัยการสามารถสั่งไม่ฟ้องได้


ส่วนที่บอกว่าต้องการดึงคดีกลับมาทำ ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้ง แต่มองเห็นว่าเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นเครือข่ายของมินนี่เหมือนกัน จึงขอความเมตตาไปว่า ขอให้ส่งเรื่องนี้กลับมา เพื่อประโยชน์ต่อรูปคดีในการสืบสวนต่อเนื่อง แต่ก็เป็นสิทธิของ ป.ป.ช. ที่จะให้หรือไม่ ยืนยันไม่ได้เป็นการกดดัน ทุกอย่างมีกระบวนการ ป.ป.ช. รับเรื่องใหญ่มากมาย เรื่องนี้แค่เด็กๆ


พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ยังฝากถึงทุกคนที่ถูกดำเนินคดีว่าให้ไปคุยกันในศาล ศาลจะให้ความเป็นธรรม ตนเองไม่มีสาเหตุโกรธเคือง ไม่กลั่นแกล้ง ไม่ทำนอกเหนือพยานหลักฐาน ขอให้มั่นใจในคณะพนักงานสอบสวน แต่ถ้ากลุ่มผู้ต้องหามีการข่มขู่เจ้าหน้าที่ บอกจะฟ้องหรือทำให้หวั่นไหว ซึ่งเป็นการทำร้ายองค์กร ตนก็ไม่ยอม พร้อมเดินหน้าชนด้วยความถูกต้อง ขอให้อย่าทรยศองค์กร เหมือนที่ทรยศเจ้านายมาแล้วหลายๆ คน


พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ยืนยันอีกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และไม่มีการกลั่นแกล้งใคร ตนทำงานตรงไปตรงมา ตรวจสอบประวัติได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของพยานหลักฐาน ส่วนที่อีกฝ่ายตั้งคำถามว่า ทำไมถึงโดนอยู่คนเดียวนั้น ตนไม่รู้ ตัวเขาต้องรู้ดีที่สุด แต่ที่รู้คือ ตนสงสารน้องๆ ทุกคนที่เข้ามายุ่งเกี่ยวจนต้องโดนไปด้วย เพราะต้องทำตามผู้บังคับบัญชา ไม่กล้าบิดพริ้ว มองว่าน้องๆ ขึ้นเรือผิดลำ และเรือลำนี้กำลังจะล่ม


สำหรับประเด็นที่ถูกอีกฝ่ายตั้งคำถามว่ามีผู้อยู่เบื้องหลัง และให้ลูกน้องมาพูดแทน พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ยืนยันว่า ไม่มี หรือต่อให้มี ตนก็ไม่เกี่ยว เพียงแค่เข้าไปแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานมันมีเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จะปล่อยผ่านไม่ได้


ส่วนเหตุผลที่หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนซึ่งเป็นระดับตำรวจเอกไม่มาชี้แจงเอง เพราะไม่ชอบให้ข่าว ชอบทำงานมากกว่า ส่วนหน้าที่การให้ข่าว ก็มอบหมายให้คนที่เหมาะสม ซึ่งในคณะฯ มีการยกมือกันให้ตนเป็นโฆษก จริงๆ ตนก็ไม่ได้อยากเป็น เดี๋ยวโดนฟ้องอีก แต่ถ้าไม่ทำ ทุกคนก็ไมสบายใจเพราะโดนขู่ทุกวัน แต่ยืนยันว่าเจ้านายปกป้องทุกคน ไม่ละทิ้ง


ส่วนประเด็นที่อัยการสั่งสอบเพิ่มใน 7 ประเด็น ยืนยันว่าตำรวจไม่ได้ทำสำนวนไม่ดีจนอัยการต้องสั่งให้สอบเพิ่มใน 7 ประเด็น แต่ประเด็นดังกล่าวเกิดจากความไม่มั่นใจในข้อกฎหมายว่าตำรวจสามารถสอบปากคำพลตำรวจนายดังกล่าวใน 7 ประเด็น ซึ่งเคยสอบปากคำในสำนวนแรกในฐานะพยานไปแล้วได้หรือไม่ จึงส่งเรื่องให้อัยการสั่งให้ตำรวจที่ทำคดีสอบเพิ่มเอง เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในข้อกฎหมาย ไม่ใช่การทำสำนวนไม่รู้เรื่อง


ขณะเดียวกันเมื่อวานนี้ (22 ก.พ.) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ หนึ่งในคนที่ถูกพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ และมินนี่ และกลุ่มลูกน้องฟ้องถึง 7 คดี ได้มาพบพลตำรวจตรีจรูญเกียรติด้วย ซึ่งนายอัจฉริยะยืนยันว่าตนและตำรวจมีพยานหลักฐานชัดเจนว่าพลตำรวจเอกนายดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ของมินนี่ แต่ตนไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะอยู่ในสำนวนคดี


 นอกจากนี้ยังมีหนึ่งในผู้ต้องหาของคดีดังกล่าวติดต่อมาที่ตนเองเพื่อขอไกล่เกลี่ยคดี ซึ่งตนเองได้ปฏิเสธไป พร้อมท้าให้พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ไปสาบานที่วัดหงษ์ จังหวัดบุรีรัมย์ ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์  ส่วนที่พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ บอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องความขัดแย้งก็เป็นการคิดไปเอง อยากให้เอาเวลาที่มาแถลงข่าว ไปเตรียมสู้คดีดีกว่า


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/F1DCiB6-000


คุณอาจสนใจ

Related News