เลือกตั้งและการเมือง

คำพิพากษาฉบับเต็ม ศาลรธน.วินิจฉัย 'ก้าวไกล' เสนอแก้ ม.112 เป็นการล้มล้างการปกครอง

โดย nattachat_c

1 ก.พ. 2567

234 views

เวลา 09.30 น. วานนี้  (31 ม.ค.67) องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นัดแถลงด้วยวาจา ประชุมปรึกษาหารือ ลงมติกรณีที่ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความอดีตพระพุทธะอิสระ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่าการกระทำของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลขณะนั้น ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 1 และ พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 2 เสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่…) พ.ศ. … เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งและยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่งหรือไม่


จากนั้นเวลา 14.15 น. องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย ทั้งนี้ ก่อนเริ่มอ่าน ศาลรัฐธรรมนูญ ชี้แจงว่า ศาลรัฐธรรมนูญ รับคดีไว้พิจารณาเมื่อเดือนมิถุนายน 2566 ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายทราบดีว่า การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญใช้ระบบไต่สวน ศาลมีอำนาจค้นหาความจริงไม่ว่าจะเป็นคุณหรือโทษแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ และการวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานได้ทุกประการ ศาลได้ให้ผู้ถูกร้องชี้แจง โดยผู้ถูกร้องขอขยายระยะเวลา 2 ครั้ง ศาลได้ดำเนินกระบวนการพิจารณารวม 62 ครั้ง รับฟังความคิดเห็นของนักวิชาการ พยานผู้เชี่ยวชาญที่มีความเป็นกลาง 4 ท่าน ได้แก่ 1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รณกรณ์ บุญมี 2. ศาสตราจารย์กิตติคุณวิทิต มันตาภรณ์ 3.รองศาสตราจารย์ดร.ภูริ ฟูวงศ์เจริญ 4.รองศาสตราจารย์ดร.ศุภมิตร ปิติพัฒน์


นอกจากนี้ศาลได้รับฟังข้อมูลจาก ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานศาลยุติธรรม ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลจังหวัดนนทบุรี และศาลจังหวัดสมุทรปราการ จึงเป็นการไต่สวนรับฟังข้อมูลรอบด้าน และให้คู่กรณีแถลงปิดคดี เมื่อครบถ้วนจึงได้มีคำวินิจฉัย


โดย นายปัญญา อุดชาชน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เริ่มอ่านคำวินิจฉัย ระบุว่า คดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายและมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 58 วรรคหนึ่ง และกำหนดประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่งหรือไม่


ข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติว่า เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 ผู้ถูกร้องที่ 1 และ ส.ส. สังกัดผู้ถูกร้องที่ 2 จำนวน 44 คน เสนอร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่…) พ.ศ. … แก้ไขเกี่ยวกับความผิดฐานหมิ่นประมาท ยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร และระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการทั่วไป 2566 ผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้นโยบายของพรรคผู้ถูกร้องที่ 2 หาเสียงเลือกตั้งโดยให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับผู้ถูกร้องทั้ง 2 มีพฤติการณ์รณรงค์ให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกกฎหมายดังกล่าวเรื่อยมา โดยการเข้าร่วมการชุมนุมกับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมีกรรมการบริหารพรรค ส.ส. สมาชิกพรรคผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นผู้ต้องหาหรือนายประกันผู้ต้องหาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และเคยแสดงความคิดเห็นทั้งให้แก้ไขและยกเลิกกฎหมายดังกล่าวผ่านการจัดกิจกรรมทางการเมืองและสื่อสังคมออนไลน์หลายครั้ง


กรณีมีข้อโต้แย้งที่ต้องวินิจฉัยตามคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของผู้ถูกร้องทั้ง 2 ก่อนว่า ผู้ถูกร้องบรรยายคำร้องโดยอ้างความคิดเห็นของบุคคลมีลักษณะเป็นการคาดคะเน  ไม่ยืนยันข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องและไม่ได้ระบุข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าผู้ถูกร้องทั้ง 2 กระทำการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างไร ทำให้ผู้ถูกร้องทั้ง 2 ไม่อาจเข้าใจได้เป็นคำร้องที่ไม่ชอบตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 42 วรรคหนึ่ง (2) หรือไม่ เห็นว่า คำร้อง คำร้องเพิ่มเติม และเอกสารประกอบคำร้องที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 ผู้ถูกร้องที่ 1 กับพวกได้เสนอร่างเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่…) พ.ศ. … ยื่นต่อประธานสภาฯ เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งและยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง


ดยอ้างพยานเอกสารต่างๆ รวมทั้งพยานวัตถุ ได้แก่ ภาพนิ่ง บันทึกภาพเคลื่อนไหวและเสียง พร้อมถอดข้อความเป็นลายลักษณ์อักษรของเหตุการณ์ที่แสดงถึงการกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 2 มาท้ายคำร้อง ถือเป็นส่วนหนึ่งของคำร้อง ทำให้คำร้องมีความชัดเจนเพียงพอที่จะทำให้ผู้ถูกร้องทั้ง 2 เข้าใจสภาพของการกระทำที่เป็นข้อกล่าวหาและสามารถต่อสู้คดีได้ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย มีว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 2 เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่


พิจารณาแล้วเห็นว่า การตรากฎหมายหรือพระราชบัญญัติเป็นกฎเกณฑ์ที่ผู้มีอำนาจตราขึ้น เพื่อใช้บังคับเหนือบุคคลให้ปฏิบัติตามเป็นการทั่วไป เพื่อกำหนดระเบียบแห่งความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือระหว่างบุคคลกับพรรค หรือเพื่อใช้ในการบริหารประเทศ การที่สังคมหนึ่งจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข มีระเบียบเรียบร้อย ไม่เกิดการเอารัดเอาเปรียบ ย่อมจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน แน่นอน และเป็นธรรม ฝ่ายนิติบัญญัติหรือ รัฐสภา เป็นองค์กรหลักในการใช้อำนาจอธิปไตยด้านนิติบัญญัติภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ย่อมใช้บังคับไม่ได้ ซึ่งการตรากฎหมาย ฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา ต้องพิจารณาไม่ให้ขัดหรือแย้งต่อหลักการของรัฐธรรมนูญ โดยกระบวนการตรากฎหมายต้องชอบด้วยรัฐธรรมนูญ คือ ต้องดำเนินการตามรูปแบบ ขั้นตอน ภายในระยะเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนด


แม้การเสนอร่างกฎหมายต่อสภาฯเป็นวิธีการทางรัฐสภา ซึ่งรัฐธรรมนูญ บัญญัติให้ฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่และอำนาจโดยตรงเสนอร่างกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ แต่เมื่อร่างกฎหมายผ่านกลไกการตรวจสอบโดยฝ่ายนิติบัญญัติแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญยังมีหน้าที่และอำนาจตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือร่างกฎหมายได้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (1) ดังนั้น การที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 49 กำหนดหน้าที่และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญให้เข้ามาตรวจสอบการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมิได้บัญญัติยกเว้นการกระทำใดไว้เป็นการเฉพาะ การเสนอร่างกฎหมายโดยฝ่ายนิติบัญญัติจึงเป็นการกระทำหนึ่งซึ่งอาจถูกตรวจสอบได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือไม่


นายจิรนิติ หะวานนท์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัยว่า  รัฐธรรมนูญมาตรา 49 เป็นบทบัญญัติที่มีความมุ่งหมายเพื่อเป็นมาตรการปกป้องคุ้มครองระบอบการปกครองของประเทศ ให้เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ 2 ประการคือ ระบอบประชาธิปไตย และพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คำว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นรูปแบบการปกกครองที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ส่วนคำว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการให้ความหมายประมุขของรัฐ ว่าประเทศนั้นปกครองโดยมีประมุขของรัฐรูปแบบพระมหากษัตริย์


โดยหลักการมาตรา 49 วรรคหนึ่ง บัญญัติเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญปี 2475 แก้ไขเพิ่มเติมปี 2495 มาตรา 35 และบัญญัติในทำนองเดียวกันไว้ในรัฐธรรมนูญต่อมาทุกฉบับ เป็นการวางหลักการเพื่อพิทักษ์ปกป้องการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จากภัยคุกคามอันเกิดจากการกระทำ ซึ่งเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ในลักษณะมุ่งหมายให้หลักการหรือคุณค่า ทางรัฐธรรมนูญที่รองรับการดำรงอยู่ของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิให้ล้มเลิกหรือสูญเสียไป บทบัญญัติมาตรานี้คุ้มครองมิให้ใช้สิทธิ หรือเสรีภาพที่จะส่งผล เป็นการบั่นทอนทำลายหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ และสั่นคลอนคติรากฐาน ของการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทยที่ดำรงอยู่ ให้เสื่อมทราม หรือสิ้นสลายไป จึงบัญญัติให้มีกลไกปกป้องระบอบการปกครองจากการถูกบั่นทอน บ่อนทำลายโดยใช้สิทธิเสรีภาพ ทางการเมืองที่เกินขอบเขตของบุคคลหรือพรรคการเมืองไว้


ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นบทบัญญัติที่กำหนดการกระทำอันเป็นความผิด และกำหนดอัตราโทษ แก่ผู้กระทำการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินีรัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หากผู้ใดกระทำความผิดตามมาตราดังกล่าว ต้องได้รับโทษทางอาญาเพราะเหตุแห่งการกระทำนั้น สอดคล้องกับการที่ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยรัฐธรรมนูญบัญญัติให้พระมหากษัตริย์เป็นสถาบันหนึ่งในรัฐธรรมนูญนั้น สืบเนื่องมาจากเหตุผลทางประวัติศาสตร์ โบราณราชประเพณี นิติประเพณี ซึ่งนอกใจจะมีลักษณะเป็นสถาบันหลักของประเทศแล้ว องค์พระมหากษัตริย์ยังทรงดำรงอยู่ในฐานะ อันเป็นที่เคารพสักการะที่ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้ จะกล่าวหา หรือฟ้องร้องในทางใดๆไม่ได้


พระเกียรติของสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการผดุงไว้ซึ่งเกียรติยศของประเทศและรักษาคุณลักษณะประการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงมีความชอบธรรมที่ต้องมีกฎหมายคุ้มครองมิให้มีการละเมิดพระมหากษัตริย์ในฐานะที่ทรงเป็นพระประมุขของรัฐ และสถาบันหลักของประเทศตามที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองและคุ้มครองไว้


การที่ผู้ถูกร้องที่ 1 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัด พรรคผู้ถูกร้องที่ 2 รวม 44 คน เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาฉบับที่พ.ศ… แก้ไขความผิดเกี่ยวกับหมิ่นประมาท ยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มีเนื้อหาให้แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 112 จากเดิม เป็นหมวด 1 ลักษณะ 1 ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ให้เป็นลักษณะ 1/2 ความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์พระราชินีรัชทายาทและเกียรติยศ ของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งการที่ประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 แบ่งลักษณะความผิดเป็น 13 ลักษณะ โดยจัดเรียงตามลักษณะความผิด อันเป็นการกระทำที่กระทบต่อรัฐ ความผิดที่เกี่ยวกับเป็นการกระทำที่กระทบต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดที่เป็นการกระทำต่อสาธารณชนความผิดที่กระทบต่อสังคมและบุคคล และความผิดที่กระทบต่อปัจเจกบุคคล


แม้ผู้ถูกร้องทั้งสองโต้แย้งว่าประมวลกฎหมายอาญา มิได้กำหนดลำดับศักดิ์ ขอหมวดหมู่และลักษณะของกฎหมายไว้ แต่ประมวลกฎหมายอาญาในแต่ละลักษณะ บรรยายเรียงลำดับความสำคัญและความร้ายแรง ในแต่ละหมวดไว้ในแต่ละมาตราโดยมาตรา 112 อยู่ในลักษณะหนึ่งความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐแห่งราชอาณาจักร เนื่องจากต้องคุ้มครองทั้งความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และเกียรติยศประมุขของรัฐ สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญในมาตรา 2 ที่บัญญัติรับรองว่าประเทศไทยมี การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สถาบันพระมหากษัตริย์จึงมีความสำคัญ ต่อความมั่นคงของประเทศ เพราะพระมหากษัตริย์ ประเทศไทย หรือชาติไทยดำรงอยู่คู่กันเป็นเนื้อเดียวกันเป็นศูนย์ร่วมจิตใจของคนในชาติ และธำรงความเป็นปึกแผ่นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในประเทศ


การกระทำความผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงเป็นการกระทำความผิดต่อความมั่นคงของประเทศด้วย การที่ผู้ถูกร้องทั้งสองเสนอให้มาตรา 112 ออกจากลักษณะหนึ่งความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร เป็นการกระทำเพื่อมุ่งหวังให้ความผิดตามมาตรา 112 เป็นความผิดที่ไม่มีความสำคัญ และความร้ายแรงระดับเดียวกับความผิด ในหมวดของลักษณะ 1 และไม่ให้ถือเป็นความผิดที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศอีกต่อไป มีแต่มุ่งหมายที่จะแยกสถาบันพระมหากษัตริย์กับความเป็นชาติไทยออกจากกัน ซึ่งเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐอย่างมีนัยยะสำคัญ


ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญที่ 28-29 2555 วางหลักเกี่ยวกับบทบัญญัติมาตรา 112 ไว้ว่า การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มีลักษณะของการกระทำความผิดที่มีความร้ายแรงมากกว่าการดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทต่อบุคคลธรรมดา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 ประกอบกับเพื่อพิทักษ์ปกป้องพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มีให้ถูกล่วงละเมิดโดยการหมิ่นประมาทดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาร้ายได้โดยง่าย จึงไม่มีบทบัญญัติ เหตุยกเว้นความผิดหรือ ยกเว้นโทษไว้ ในทำนองเดียวกันกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 และมาตรา 330


การที่ผู้ถูกร้องที่ 1 กับพวก เสนอให้เพิ่มบทบัญญัติให้ผู้กระทำความผิดสามารถพิสูจน์เหตุยกเว้นความผิดและเหตุยกเว้นโทษได้ ตามร่างมาตรา 6 ซึ่งให้เพิ่มความมาตรา 135/7 ว่า ผู้ใดติชมแสดงความคิดเห็นหรือแสดงข้อความโดยสุจริตเพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเพื่อดำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ ผู้นั้นไม่มีความผิด และมาตรา 135/8 ถ้าผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด พิสูจน์ได้ว่าข้อหาที่เป็นความผิดนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ ย่อมทำให้ผู้กระทำความผิดใช้ข้อกล่าวอ้าวว่าตนเข้าใจผิด และเชื่อโดยสุจริต ว่าเป็นความจริง เป็นข้อต่อสู้ และขอพิสูจน์ความจริงในทุกคดี เช่นเดียวกับการที่ผู้กระทำความผิดในคดีหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไปลุกขึ้นต่อสู้ ทั้งที่ลักษณะ ของการกระทำความผิด มีความร้ายแรงมากกว่าการดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทต่อบุคคลธรรมดา ซึ่งการพิจารณาของศาลยุติธรรมจะต้องมีการสืบพยาน และข้ออ้าง ข้อเถียงข้อต่อสู้ระหว่างคู่ความในคดีการพิสูจน์เหตุดังกล่าวจำต้องพาดพิงหรือกล่าวหาสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งอยู่ในสถานะอันควรเคารพสักการะ อย่างหลีกเลี่ยงไม้ได้ ไม่ต้องด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ที่บัญญัติให้องค์พระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดไม่ได้ และทำให้ข้อความดังกล่าวกระจายสู่สาธารณะ เป็นการเสื่อมพระเกียรติ


อีกทั้ง ที่ผู้ถูกร้องที่ 1 กับพวกเสนอให้ความผิดตามมาตรา 112 เป็นความผิดอันยอมความได้ โดยเพิ่ม ความในมาตรา 135/9 วรรคหนึ่งว่า ความผิดในลักษณะนี้ เป็นความผิดอันยอมความได้  และวรรคสอง ให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ร้องทุกข์และถือว่าเป็นผู้เสียหายในความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น และให้สำนักพระราชวังเป็นผู้เสียหายร้องทุกข์มุ่งหมายให้การกระทำความผิดตามมาตรา 112 กลายเป็นความผิดในเรื่องส่วนพระองค์ของสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น เป็นการลดสถานะความคุ้มครอง ขอสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้รัฐไม่ต้องเป็นผู้เสียหายในความผิดดังกล่าวโดยตรงและให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน และจะเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ส่งผลให้การกระทำความผิดตามมาตรา 112 ไม่ใช่การกระทำความผิดที่กระทบต่อชาติและประชาชน ทั้งที่การกระทำความผิดดังกล่าว ย่อมเป็นการทำร้ายจิตใจของชนชาวไทย ที่มีเคารพเทิดทูน สถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะทรงเป็นพระประมุขและศูนย์รวมความเป็นชาติที่รัฐต้องคุ้มครองและต้องเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา


นายอุดม รัฐอมฤต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัยว่า แม้การเสนอแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จะเป็นหน้าที่และอำนาจของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผ่านกระบวนการทางนิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา133 และร่างกฎหมายดังกล่าวจะไม่ได้รับการบรรจุในวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรก็ตาม  เมื่อการเสนอร่างกฎหมายนี้ กลับดำเนินการโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคผู้ถูกร้องที่ 2 ทั้งสิ้นเพียงพรรคเดียว โดยผู้ถูกร้องทั้งสองได้เบิกความกับศาล ยอมรับว่า พรรคผู้ถูกร้องที่ 2 นำเสนอนโยบายดังกล่าวให้แก่คณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อใช้เป็นนโยบายในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ 2566และปัจจุบันยังปรากฏเป็นนโยบายการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อยู่บนเว็บไซต์ของพรรคผู้ถูกร้องที่ 2 การที่ผู้ถูกร้องทั้งสองใช้การเสนอแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นนโยบายของพรรคผู้ถูกร้องที่ 2 ในการหาเสียงเลือกตั้ง แม้ไม่มีร่างที่จะแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ให้เห็นว่าจะแก้ไขในประเด็นใด เสนอมาพร้อมนโยบายพรรคผู้ถูกร้องที่ 2 แต่ตามเว็บไซต์ของผู้ถูกร้องที่ 2 กล่าวถึงการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กลับมีเนื้อหาที่จะแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ทำนองเดียวกับร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาฉบับที่..พ.ศ.. แก้ไขเกี่ยวกับความผิดหมิ่นประมาทเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 ที่ยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร


ดังนั้น ถือได้ว่าพรรคผู้ถูกร้องที่ 2ได้ร่วมกับผู้ถูกร้องที่ 1เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ฉบับที่พ.ศ… แก้ไขเกี่ยวกับความผิดหมิ่นประมาทเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 ที่ยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร อีกทั้ง เนื้อหาของร่างกฎหมายที่ผู้ถูกร้องทั้งสองเสนอเป็นพฤติการณ์ที่แสดงออกถึงเจตนาของผู้ถูกร้องทั้งสอง ที่ต้องการลดทอนการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ลง โดยผ่านร่างกฎหมาย และอาศัยกระบวนการนิติบัญญัติเพื่อสร้างความชอบธรรมโดยซ่อนเร้น โดยใช้วิธีการผ่านกระบวนการทางรัฐสภา นอกจากนั้นผู้ถูกร้องทั้งสองยังมีพฤติการณ์รณรงค์หาเสียงทางการเมืองเพื่อเสนอแนวความคิดเห็นดังกล่าว ให้กับประชาชนทั่วไปผ่านรูปแบบนโยบายของพรรคผู้ถูกร้องที่ 2  อย่างต่อเนื่อง หากประชาชนทั่วไปซึ่งไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของผู้ถูกร้องทั้งสอง อาจหลงตามกับความคิดเห็นที่แสดงออกผ่านการเสนอร่างกฎหมายและนโยบายของพรรค ประกอบกับศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยที่ 3/2562 วินิจฉัยว่าสาระสำคัญซึ่งเป็นหลักการขั้นพื้นฐานของระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของไทย ดังได้ระบุไว้ในความของพระราชหัตถเลขาที่ 1/2560 ลงวันที่14 พฤศจิกายน 2547 ว่า พระมหากษัตริย์พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง ดำรงฐานะอยู่เหนือการเมือง โดยเฉพาะในแง่การไม่เข้าไปมีบทบาทเป็นฝักฝ่ายต่อสู้แข่งขันรณรงค์ทางการเมือง อันอาจนำมาซึ่งการโจมตี ติเตียน และกระทบกระเทือนต่อความเป็นกลางของสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องถูกลบล้างไป ดังปรากฏเป็นที่ประจักษ์ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 6/2543 ที่วินิจฉัยว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย ทรงดำรงอยู่เหนือการเมือง และทรงดำรงไว้ซึ่งความเป็นกลางทางการเมือง


การที่ผู้ถูกร้องทั้งสองใช้การเสนอแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพื่อลดสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นนโยบายพรรคในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้นโยบายพรรคการเมืองโดยนำสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมา เพื่อหวังผลคะแนนเสียงทางการเมือง และประโยชน์ในการชนะการเลือกตั้ง มุ่งหมายให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะคู่ขัดแย้งกับประชาชน ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องเข้าไปเป็นฝักฝ่ายต่อสู้แข่งขัน รณรงค์ทางการเมือง อันอาจนำมาซึ่งการโจมตี ติเตียน โดยไม่คำนึงถึงหลักการพื้นฐานสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันนี้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งมีหลักสำคัญว่าพระมหากษัตริย์ต้องดำรงสถานะอยู่เหนือการเมือง และความเป็นกลางทางการเมือง


ข้อโต้แย้งที่ผู้ถูกร้องทั้งสองโต้แย้งว่า หลักการปกครองเสรีประชาธิปไตย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่เป็นผู้แทนของประชาชน ในการขับเคลื่อนนโยบายที่หาเสียงไว้ และการเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายตามนโยบายที่ให้ไว้กับประชาชนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการกระทำในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นเอกสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 133 วรรคหนึ่ง (2) ไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติพรรคการเมืองนั้น  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาฉบับที่…พ.ศ… แก้ไขความผิดเกี่ยวกับหมิ่นประมาทเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 กลับดำเนินการโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคผู้ถูกร้องที่สองทั้งสิ้น ทั้งผู้ถูกร้องทั้งสองเบิกความต่อศาลรัฐธรรมนูญยอมรับว่า พรรคผู้ถูกร้องที่ 2 นำเสนอนโยบายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นการทั่วไป 2566 และปัจจุบันยังคงปรากฏนโยบายดังกล่าวอยู่บนเว็บไซต์ของพรรคผู้ถูกร้องที่ 2


ข้อโต้แย้งของผู้ถูกร้องที่ 2 ที่ว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 49 ใช้เฉพาะกับบุคคลธรรมดา ไม่ใช้กับพรรคการเมืองนั้น ผู้ถูกร้องที่ 1 ในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง และพรรคผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์สำคัญที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองตามการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่เมื่อพิจารณาความในหมวด 3 ไม่ได้กำหนดเฉพาะบุคคลที่เป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น ประกอบกับ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 20 ประกอบมาตรา 23 (1) และ(5) บัญญัติหน้าที่ของพรรคการเมืองที่ต้องให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไว้อย่างชัดเจน รัฐธรรมนูญมาตรา 49 จึงใช้บังคับกับพรรคการเมืองซึ่งเป็นนิติบุคคลได้ เมื่อพรรคผู้ถูกร้องที่ 2 ได้แสดงบทบาทเคลื่อนไหวทางการเมืองสอดรับกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองต่างๆ โดยการรณรงค์ ปลุกเร้า และยุยง ปลุกปั่น เพื่อสร้างกระแสในสังคมให้สนับสนุน ให้ยกเลิก หรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ปรากฏพฤติการณ์ของพรรคผู้ถูกร้องที่ 2 พบว่ามีกลุ่มบุคคลที่มีชื่อทำกิจกรรม “ยืน หยุด ขัง” ข้อเรียกร้องให้พรรคการเมืองทุกพรรคเสนอนโยบาย ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112  มีกลุ่มบุคคลที่ปัจจุบันเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคผู้ถูกร้องที่ 2 จัดชุมนุมโดยแนวร่วมคณะราษฎร ยกเลิก 112 และ กลุ่ม ครย.112 มีการรณรงค์ให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มีพฤติการณ์สนับสนุนเรียกร้อง ให้ยกเลิก หรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112  มีพฤติการณ์สนับสนุน เรียกร้องให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว


นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมเป็นนายประกันให้กับผู้ต้องหาหรือจำเลยในข้อหาตามมาตรา 112  ได้แก่ผู้ถูกร้องที่ 1 นายชัยธวัช ตุลาธน  , นายรังสิมันต์ โรม  , น.ส.สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา , นายทองแดง เบ็ญจะปัก , นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล , นายธีรัจชัย พันธุมาศ  ในขณะที่เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคผู้ถูกร้องที่ 2 ตามหนังสือสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ และคำเบิกความของผู้ถูกร้องทั้งสอง ต่อศาลรัฐธรรมนูญปรากฏว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 กรรมการบริหารพรรค สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งในอดีตและปัจจุบัน และสมาชิกพรรคผู้ถูกร้องที่ 2 มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หลายรายได้แก่ นายปิยรัฐ จงเทพ จำนวน 2 คดี , น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว จำนวน 2 คดี  , น.ส.รักชนก ศรีนอก เป็นต้น  การกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น เป็นความผิดอาญา ผู้กระทำจะต้องมีการกระทำที่เข้าองค์ประกอบแห่งความผิด จึงจะถูกกล่าวหาและดำเนินคดีได้  ผู้ถูกร้องทั้งสอง จึงไม่อาจกล่าวอ้างได้ว่า เป็นความเห็นต่างหรือเป็นคดีการเมือง เพราะการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญมาตรา 34 มีข้อห้ามมีให้ใช้สิทธิ์หรือเสรีภาพ หากเป็นการกระทำที่ส่งผลต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน


พฤติการณ์ที่แสดงออก หรือเข้าร่วมการชุมนุมที่มีการรณรงค์ให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112  หรือเป็นหลักประกันผู้ต้องหาหรือจำเลยในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112  หรือเป็นผู้กระทำความผิดในข้อหาดังกล่าวเสียเอง ย่อมแสดงให้เห็นว่าพรรคผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นกลุ่มการเมืองที่มีอุดมการณ์ต้องการเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือยกเลิกบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่คุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2566 จัดกิจกรรมปราศรัยใหญ่ ณ สวนสาธารณะเทศบาลแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา  จังหวัดชลบุรี โดย น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ , น.ส.อรวรรณ ภู่พงศ์ ขึ้นปราศรัยเชิญชวนผู้ถูกร้องที่ 1 รวมถึงว่าที่ผู้สมัครผู้แทนราษฎรของพรรคผู้ถูกร้องที่ 2 ร่วมกิจกรรม “คุณคิดว่ามาตรา 112 ควรยกเลิกหรือแก้ไข” ซึ่งผู้ถูกร้องที่ 1 นำสติ๊กเกอร์สีแดงติดลงในช่องยกเลิก มาตรา 112 แม้ผู้ถูกร้องที่ 1 จะแจ้งต่อศาลว่าเป็นเพียงการแสดงออกเพื่อโน้มน้าวให้ผู้ตั้งกระทู้ถาม และผู้ฟังการปราศรัยโดยทั่วไปสงบสติอารมณ์ ก่อนที่จะฟังฟังคำปราศรัยถึงเหตุผลที่สมควรแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และเป็นการบริหารสถานการณ์ไม่ให้เกิดความรุนแรงนั้น แต่ข้อเท็จจริงปรากฏในหนังสือของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าผู้ถูกร้องที่ 1 ปราศรัยความตอนหนึ่งว่า “พี่น้องประชาชนเสนอกฎหมายยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เข้ามา พรรคก้าวไกลก็จะสนับสนุนเช่นเดียวกัน


พราะฉะนั้นต้องขอโทษน้องทั้งสองที่พี่ต้องแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ในสภาก่อนถ้าสภายังไม่ได้รับการแก้ไข ก้าวไกลจะออกไปสู้ด้วยกันครับ” แสดงให้เห็นถึงทัศนคติของผู้ถูกร้องที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคของผู้ถูกร้องที่ 2 ในขณะนั้น ที่พร้อมจะสนับสนุนยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ทำให้บทบัญญัติแห่งการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์หมดสิ้นไป เพราะหากไม่ได้รับการแก้ไขในสภาผู้แทนราษฎร ก็พร้อมจะดำเนินการโดยอาศัยวิถีทางอื่น นอกเหนือจากวิธีการนิติบัญญัติ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยที่ 19/2564 ว่าการกระทำที่มีเจตนาทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์โดยชัดแจ้ง เป็นการเซาะกร่อน บนทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญได้วางมาตรฐานเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขว่า พระมหากษัตริย์ดำรงสถานะอยู่เหนือการเมืองและเป็นกลางทางการเมือง การกระทำใดๆที่เป็นการส่งเสริมหรือทำลายให้สถาบันพระมหากษัตริย์สูญเสียสถานะที่จะต้องอยู่เหนือการเมือง หรือดำรงความเป็นกลางทางการเมือง ย่อมเป็นการเซาะกร่อน บ่อนทำลาย เป็นเหตุให้ชำรุด ทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง เข้าลักษณะ เป็นการล้มล้างการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัยว่า แม้ผู้ถูกร้องทั้งสองโต้แย้งว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 49 มีองค์ประกอบของการกระทำอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้นั้น ต้องเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพก็ตาม แต่คำว่าสิทธิหมายถึงอำนาจที่รับรองและให้การคุ้มครองมิให้บุคคลใดลุกล้ำหรือใช้สิทธิเกินส่วนของตน นั่นถือเป็นการล่วงละเมิดของสิทธิของผู้อื่น ส่วนคำว่าเสรีภาพหมายถึง เป็นสภาวะของมนุษย์ที่เป็นอิสระในการกำหนดว่าตนเองจะกระทำการอันใด แต่ทั้งนี้เสรีภาพจะต้องไม่ขัดต่อความสงบ เรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นด้วย ซึ่งรัฐธ

คุณอาจสนใจ

Related News