เลือกตั้งและการเมือง
‘ชัยวัฒน์’ โต้กลับ ปัดบอกนักการเมืองเผาป่า แค่จับพิรุธได้ลงพื้นที่ทำคอนเทนต์ ‘เพื่อไทย-ก้าวไกล’ ท้าเปิดหลักฐาน
โดย JitrarutP
20 เม.ย. 2567
258 views
“ชัยวัฒน์” โต้กลับ “เพื่อไทย – ก้าวไกล” หลังออกมาแฉคนเผาป่าเชียงใหม่ ไม่ได้บอกว่าเป็นนักการเมือง แค่จับพิรุธได้ลงพื้นที่ทำคอนเทนต์ช่วงไฟป่า ด้าน “เพื่อไทย - ก้าวไกล” ท้าเปิดหลักฐาน ซัด อย่ากล่าวหาเลื่อนลอย ผูกขาดความรักป่าไว้คนเดียว
กรณีที่นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชออกมาแฉว่าไฟป่าภาคเหนือ ต้นเหตุมากสุด เกิดจากคนการเมือง จงใจเผาเพื่อให้เกิดสถานการณ์ที่รัฐควบคุมไม่ได้ กระทั่งเมื่อวานนี้ (19 เม.ย.67) ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านออกมาโต้กลับบอกว่าเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง พูดลอยๆ โดยไม่มีหลักฐานพร้อมทางให้เปิดหลักฐานที่ชัดเจนออกมา
ทีมข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ได้คุยกับนายชัยวัฒน์ถึงกรณีดังกล่าว เจ้าตัวระบุว่า ตนเป็นประชาคนคนหนึ่ง ถ้าคุณเป็นนักการเมืองแล้วฟังเสียงประชาชนตนก็เป็นเสียงหนึ่งของประชาชน ขณะเดียวกันตนเป็นข้าราชการ และลงพื้นที่ปฏิบัติจริง แล้วทำงานเกี่ยวกับเรื่องไฟป่ามาโดยตลอด เพราะฉะนั้นหากคุณฟังแล้ววิเคราะห์แต่ต้องฟังให้ครบก่อนจะออกมาวิจารณ์และไม่เห็นด้วย
ซึ่งตนได้บอกไปแล้วว่าสาเหตุมีหลากหลายสาเหตุและได้เรียงลำดับจากน้อยไปมากโดยประเด็นที่เป็นสาเหตุหลักมาจากการเมือง และการผลักดันวิถีชีวิตตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 53 การคุ้มครองวิถีชีวิตของชาวชาติพันธุ์ ซึ่งตอนนี้ยกเป็นร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองวิถีชีวิตของชาวชาติพันธุ์ในพื้นที่สูงโดยมีการให้เผาได้ ล่าสัตว์ได้ ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับการเมืองในวิถีชุมชน ทั้งนี้ ตนเคยบอกไปแล้วว่าการเผาในป่าดิบชื้นเป็นการจงใจเผาให้เกิดควัน ซึ่งเรื่องนี้เกิดจากการสื่อสารจากผู้นำ แกนนำ หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือขัดแย้งเกี่ยวกับการเมืองท้องถิ่น หรือการเมืองท้องถิ่น ดังนั้นตนถึงบอกว่าจะเอา จ.เชียงใหม่ เป็นประกันไม่ได้
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า หากถามว่าเอาหลักฐานมาแฉได้หรือไม่ อย่าคุยเรื่องหลักฐานกันเลย วันนี้ท่านไปลงพื้นที่แล้วไปดู ไปถามผู้ปฏิบัติจริงๆ อย่าวิเคราะห์จากคนอื่น แต่หากท่านไปนั่งคุย ไปแบบชาวบ้านไปแบบคนที่อยากช่วยจริงๆ และไปคลุกคลีกับเจ้าหน้าที่ เขาจะเล่าให้ฟังเลยว่าต้นเพลิง ต้นไฟเกิดจากการเมืองก่อนการลงพื้นที่ มันมีจุด การสร้างสถานการณ์มาก่อนนักการเมืองเข้าพื้นที่แล้วแอคชั่น ทั้งนี้ ตนได้บอกสาเหตุการเกิดไฟป่าไปแล้วว่ามี 7 ระดับ และสาเหตุหลักตามที่ได้บอกไปข้างต้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเกิดจาก 2 สาเหตุนี้ทั้งหมด
นายชัยวัฒน์ ระบุว่า ตนไม่ได้ยืนยันว่าเป็นคนการเมืองไปเผา แต่สถานการณ์ที่เกิด เกิดจากการสถานการณ์ที่การเมืองลงพื้นที่ แล้วสร้างการเผาให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งเป็นต้นเหตุ ของการเกิดไฟป่าในช่วงขณะหนึ่งที่การเมืองลงพื้นที่ หรือตามขอบเขตวันที่ 10-20 มี.ค.ที่นายชัยวัฒน์ ให้สัมภาษณ์ไว้ แล้วจะมาบอกว่าเป็นคนการเมืองไปเผา ตนจับมือใครดมไม่ได้ แต่ตนลงพื้นที่ ได้ตรวจสอบเหตุการณ์ จึงยืนยันชัดเจนว่า เกิดจากการสร้างสถานการณ์ไม่ให้เป็นไปตามปกติของการเกิดไฟ ซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดช่วงที่นักการเมืองลงพื้นที่” ตามกราฟจุดนำความร้อน (Hotspot) ดังนั้น จะโทษว่าตนไม่บอกว่าคนการเมืองไปเผา ไม่ใช่ แต่คนที่นักฐานการเมืองของท่าน ไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายไหน ฝ่ายบวก ฝ่ายลบให้ไปวิเคราะห์กันเอง ดังนั้นขอย้ำว่าไฟที่เกิดขึ้น เกิดจากมนุษย์มันไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ
ส่วนจะเกิดจากคนฝ่ายไหนหากท่านลงพื้นที่แล้วใจเย็นๆ ฟังให้เยอะ เพราะนักการเมืองต้องฟังเยอะๆ ท่านต้องฟังข้าราชการที่เป็นผู้ปฏิบัติในพื้นที่ให้มาก หากท่านบอกว่าท่านเป็นนักการเมืองแล้วเก่ง ยืนยันว่าไม่ใช่ ท่านต้องฟังแล้วนำไปปฏิบัติ น่าจะเป็นการช่วยกัน พัฒนาประเทศและแก้ไขปัญหาไฟป่าได้
ก่อนเล่าย้อนว่า เมื่อวันที่ 11-13 มี.ค.ที่ผ่านมาเกิดไฟป่า ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ขึ้นไปดับไฟและสามารถควบคุมได้ แต่พอเช้ามาอีกวันปรากฏว่าไฟลุกขึ้นอีกครั้ง เจ้าหน้าที่ก็ไปดับ พอมีนักการเมืองลงพื้นที่ในจุดเดียวกัน ปรากฏว่ามีไฟเกิดขึ้นอีกซึ่งเป็นจุดรอรับ ที่เราเสียใจคือพอรู้ว่านักการเมืองจะลงพื้นที่ไฟลุกขึ้นมาอีกครั้ง ยืนยันว่ามันไม่ได้เกิดจากการครุกรุ่นจากแนวเดิม มีการมาจุดบริเวณใหม่เพื่อให้มีการเข้าไปแอคชั่น และตนขอถามว่าเท่าที่อธิบายมาชัดเจนแล้วคุณหรือยังว่ามันไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ และหากเป็นแบบนี้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถรับไม่ไหว เพราะมีเจตนาทำคอนเทนต์
นายชัยวัฒน์ ระบุว่า ทั้งหมดที่ตนพยายามสื่อสารออกมาว่าต้นต่อส่วนหนึ่งมาจากการเมือง เฉพาะช่วงที่นักการเมืองลงพื้นที่เท่านั้น ไม่ได้ย้อนกลับไปในสถานการณ์ปีที่ผ่านๆมา
เมื่อถามถึงมีการฝากให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจสอบว่าการที่ข้าราชการประจำพูดลอยๆแบบนี้ไม่เหมาะสมหรือไม่ นายชัยวัฒน์ ระบุว่า ตามที่ตนได้บอกไปว่า “คุณต้องฟังผม” ผมถามว่าคุณเป็นใคร ผมเป็นข้าราชการประจำ เป็นข้าราชการที่ปฏิบัติในพื้นที่มาโดยตลอด แล้วคุณบอกว่าผมเตือนคุณไม่ได้ มันถูกหรือไม่ คุณอย่ามาพูดว่าผมพูดไม่ได้ ผมต้องบอกพวกคุณ ผมอยู่ในป่ามาตลอด ผมต้องบอกพวกคุณ เพราะเป็นผู้รู้ในพื้นที่ป่า ผมควรจะพูดได้ดังกว่าและคุณต้องฟังเสียงของผมให้ดีกว่านี้ และหากพูดมาเช่นนี้ นั่นคือสัญญาณเตือนว่าประเทศไทยจะล่มสลาย หากเมื่อรับฟังสิ่งที่มันถูกต้อง
ส่วนกรณีที่นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคก้าวไกลบอกว่านายชัยวัฒน์เอง ใช้ความรู้สึกและอคติล้วนๆ โดยไม่มีข้อเท็จจริง ไม่ต่างอะไรจากรำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง คุมไฟป่าไม่ได้แล้วมาโทษพรรคการเมือง ประเด็นนี้ นายชัยวัฒน์ บอกว่า คืนก่อนหน้านี้ไฟป่าบนสุเทพ ไฟลุกขนาดไหน ทำไมเจ้าหน้าที่คุมได้ เมื่อไฟลุกเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมได้ แต่การจงใจจุดหลายๆ จุด เจ้าหน้าที่มีเพียงน้อยนิดไม่สามารถคุมได้ทั้งหมด
ขณะเดียวกันทั้ง นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ยืนยันว่าไม่มีนักการเมืองที่จะเข้าไปเผาป่า เพื่อเอาผลงานการดับไฟป่า ซึ่งตนไม่เชื่อว่านักการเมือง ไม่ว่าจะฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน จะไปเผาเพื่อเอาผลงาน เพราะเหตุผลมันตื้นและน้อยมาก หากนายชัยวัฒน์อยากได้ชื่อเสียง อยากได้ข่าว เขาได้ข่าวอยู่แล้ว แต่อย่าไปใส่ร้ายฝ่ายอื่น ช่วยกันทำงานดีกว่าถ้ามีหลักฐานจริงๆ ให้นำมายื่นนำพร้อมที่จะดำเนินการเพราะรัฐบาลนี้ไม่ไว้หน้าใคร
พร้อมขอว่าอย่ากล่าวหากัน ช่วยกันเอาข้อมูลมาดีกว่า ว่าจะทำอย่างไรให้ดีขึ้น มาช่วยกันดึงเรื่องไว้ไม่ได้ประโยชน์อะไร รังแต่จะเข้าใจผิดกันเปล่าๆ ตนอยากจะฝากไปยังประชาชน ว่ารัฐบาลไม่มีทางที่จะทำอย่างนั้น ไม่ว่าฝ่ายค้าหรือรัฐบาลไม่ทำ พร้อมขอให้ระมัดระวังในสิ่งที่ตนเองคิดตนเองพูด อย่ารับปากคนเดียว อย่ารักต้นน้ำลำธารคนเดียว คนอื่นเขาก็รักเหมือนกัน อย่าอวดว่าตัวเองเสียสละคนอื่นเขาก็เสียสละ
ขณะที่ นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ พรรคก้าวไกล ในสัดส่วนสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวการเมืองช่อง 3 ว่า อคติทางการเมืองแบบนี้แหละที่ทำให้ แก้ไขปัญหาไฟป่าได้สักที จากการที่ได้ฟังสัมภาษณ์ ตนคิดว่าการระบุว่าสร้างสถานการณ์เพื่อเอาชนะทางการเมืองนั้น ไม่ถูกต้องเท่าไหร่
นายภัทรพงษ์ กล่าวต่อว่า เป็นการกล่าวหาที่ร้ายแรงมากๆ ใช้แต่ความรู้สึกและความอคติล้วนๆ โดยไม่มีข้อเท็จจริงใดๆ ไม่ต่างอะไรจากรำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง คุมไฟป่าไม่ได้แล้วโทษพรรคการเมือง
ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลตั้งทีมก้าวไกลสู้ไฟป่า เพื่อสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานราชการ ที่ของบไป 1,709 ล้านบาท แต่ได้แค่ 50 ล้านบาทเท่านั้น ถ้านายชัยวัฒน์ได้ไปดูการเตรียมการรับมือ จะเห็นชัดเจนว่าก่อนเริ่มต้นแก้ปัญหาไฟป่า หน่วยงานต่างๆแทบไม่มีอุปกรณ์ที่จำเป็นในการดับไฟ ทั้งโดรนตรวจจับความร้อน เครื่องเป่าลม นอกจากนี้ยังต้องควักกระเป๋าซ่อมกันเอง ถ้านายชัยวัฒน์ไปดูข้อมูลจะรู้ว่าทำไมปัญหามันลุกลามขนาดนี้
“คุณเคยเข้าพื้นที่ไปดูไฟป่าก่อนที่จะเจอปัญหาหรือไม่ ได้ดูไหมว่ามีอุปกรณ์เพียงพอหรือเปล่า เคยรู้ข้อมูลพวกนี้หรือเปล่า ก่อนจะมาโทษว่าเป็นเพราะนักการเมือง” นายภัทรพงษ์ กล่าว
ต่อมานายชัยวัฒน์ เปิดเผยอีกว่า ยืนยันไม่ได้พูดลอยๆ หรือโยงไปทั่ว หากใครรู้จักชัยวัฒน์ ผมไม่เคยนั่งทำงานแบบนั่งบนโต๊ะ ตนต้องลงพื้นที่ พูดง่ายๆ ว่าตัวเองมีข้อมูล 100% แต่หากถามว่าจะจับมือนักการเมืองใครมาดม แล้วตนจับได้หรือไม่ คุณบอกต้องมีหลักฐาน และผมรู้ว่าไม่ใช่นักการเมืองเป็นคนไปเผาเอง แต่เป็นพื้นฐานคนของกลุ่มคน และวิธีการเท่านั้นเอง ซึ่งเรารู้ดีว่ามันเกิดมาจาก แล้วเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าเองก็พยายามพูด แต่หากให้พูดทั้งหมดก็ไม่สามารถพูด แล้วพอตนออกมาพูดพวกคุณก็รับไม่ได้
แท็กที่เกี่ยวข้อง ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ,ไฟป่าเชียงใหม่ ,เพื่อไทย ,พรรคก้าวไกล