เลือกตั้งและการเมือง

เปิดคำวินิจฉัยศาลรธน. คดีหุ้นไอทีวี 'พิธา' หลังคำตัดสินชี้ "ไม่ใช่สื่อ"

โดย chiwatthanai_t

24 ม.ค. 2567

61 views

วันพุธที่ 24 มกราคม 2567 ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 ต่อ 1 เสียง วินิจฉัยว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่สิ้นสมาชิกภาพ สส.เพราะไม่ขาดคุณสมบัติในการถือหุ้นสื่อ เนื่องจากในวันสมัครรับเลือกตั้ง สส.ไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการสื่อแล้ว ส่งผลให้นายพิธา สามารถกลับเข้าไปทำหน้าที่ สส.ในสภาผู้แทนได้ หลังยุติการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวมาเป็นเวลากว่า 6 เดือน

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 เสียง เห็นว่าในวันที่พรรคก้าวไกลยื่นชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อ 6 นายพิธา เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทไอทีวี แต่จากข้อเท็จจริงในทางไต่สวนรับฟังได้ว่า บริษัทไอทีวี ไม่ได้ประกอบกิจการหรือมีรายได้จากกิจการหนังสือพิมพ์ใดๆ นายพิธา จึงไม่มีลักษณะต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง สส.ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายพิธา จึงไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (3) โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อยจำนวน 1 เสียงที่ไม่เห็นด้วยคือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์


ประเด็นสำคัญในการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มี 2 ประเด็นสำคัญ เรื่องการถือหุ้นบริษัทไอทีวี ซึ่ง กกต.ในฐานะผู้ร้อง ระบุว่าในวันสมัครรับเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2566 นายพิธา ถือหุ้นบริษัทไอทีวี ในลำดับที่ 7,061 จำนวน 42,000 หุ้น โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นผู้จัดการมรดก แต่โอนหุ้นให้นายภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์ น้องชาย เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 และงบการเงินของบริษัทไอทีวี ในรอบพฤษภาคม 2566 ยังเป็นสื่อโทรทัศน์ ซึ่งการที่นายพิธา โต้แย้งกว่า การถือหุ้นไอทีวี 42,000 หุ้นเป็นสัดส่วนเพียง 0.00346 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งน้อยมากไม่มีอำนาจในการครอบงำกิจการของไอทีวีได้ ในประเด็นนี้ศาลเห็นว่า รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดการถือหุ้นว่าต้องเท่าใด การถือหุ้นแม้เพียงหุ้นเดียวจึงเข้าข่ายการห้าม สส.ถือหุ้นสื่อตามมาตรา 98 และศาลเห็นว่า นายพิธา ยังถือหุ้นไอทีวี ในวันรับสมัคร แม้จะชี้แจงว่าได้โอนหุ้นหรือทำการปันทรัพย์ไปแล้ว แต่ยังมีข้อพิรุธหลายประการ


ประเด็นสำคัญว่าบริษัทไอทีวี ประกอบกิจการสื่อหรือไม่ ฝ่ายกกต.นำเอกสาร สบช.3 ของไอทีวี และงบการเงินสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2565 ระบุประเภทธุรกิจสื่อโทรทัศน์ มากล่าวหา แต่นายพิธา โต้แย้งว่าไอทีวีถูกบอกเลิกสัญญาไปตั้งแต่ 7 มีนาคม 2550 และยังมีคดีพิพาทอยู่ในศาลปกครองสูงสุด ในขณะที่นายคิม สิริทวีชัย ประธานบริษัทไอทีวี ยืนยันว่า บริษัทไม่ไมีการดำเนินกิจการใดๆ และไอทีวีไม่มีรายได้จากแบบสบช.3 และใบนำส่งงบการเงินสิ้นสิ้น 31 ธันวาคม 2565 ก็ระบุว่าบริษัทมีรายได้จากดอกเบี้ยรับ รวมถึง กสทช.แจ้งว่าไอทีวีไม่มีใบอนุญาตคลื่นความถี่แล้ว ซึ่งศาลได้กล่าวถึงไทม์ไลน์การเปิดบริษัทไอทีวีตั้งแต่ปี 2538 ได้รับสัมปทานคลื่นความถี่ประกอบกิจการโทรทัศน์กับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี หรือ สปน.สัญญา 30 ปี แต่ในวันที่ 7 มีนาคม 2550 สปน.บอกเลิกสัญญา ย่อมทำให้สัญญาสิ้นสุดลง ไอทีวีจึงหยุดกิจการชั่วคราว ตั้งแต่ 8 มีนาคม 2550 ไม่มีพนักงานและไม่ปรากฏข้อมูลในสำนักงานประกันสังคมจนถึงปัจจุบัน และศาลยังตรวจสอบงบการเงิน กับ วัตถุประสงค์ตาม สบช.3 ก็ไม่มีรายได้จากการประกอบกิจการสื่อ


และที่สำคัญคำเบิกความของนายคิม สิริทวีชัย ประธานไอทีวี ในการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 ยืนยันว่าไม่ได้ดำเนินกิจการสื่อ ซึ่งหากศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้ไอทีวีชนะคดี จึงจะพิจารณาว่าจะดำเนินการต่อหรือไม่ และถ้าชนะคดีไม่ได้มีผลที่ให้ไอทีวีได้รับมอบคลื่นความถี่มาประกอบกิจการ และไม่มีรายได้จากกิจการสื่อ และไม่พบการจดแจ้งกิจการใดๆเกี่ยวกับ ศาลจึงวินิจฉัยว่าไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการสื่อในวันที่นายพิธา สมัคร สส. ทำให้สมาชิกภาพการเป็น สส.ของนายพิธา ไม่สิ้นสุดลง


การวินิจฉัยของศาลในวันนี้ยังตักเตือนนายพิธา ในฐานะผู้ถูกร้องในการระมัดระวังการให้สัมภาษณ์หลังการให้การต่อศาลที่อาจจะชี้นำคำวินิฉัยของศาลได้ ในขณะที่การอ่านคำวินิจฉัยวันนี้ผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อย นายพิธา สามารถกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ สส.ในสภาผู้แทนราษฎรได้ หลังยุติปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวมาเป็นเวลากว่า 6 เดือน


ขณะที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เตรียมเข้าสภาฯเเพื่อทำหน้าที่ สส.ในวันพรุ่งนี้ทันที และกล่าวขอบคุณประชาชนที่มาให้กำลังใจในการบฟังคำวินิจฉัยในวันนี้ ขณะที่นายชัยธวัช ตุลาธน ไม่ยึดติดกับตำแหน่ง หากที่ประชุมพรรคจะให้นายพิธา กลับมาเป็นหัวหน้าพรรค


การรับฟังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เดินทางไปพร้อมนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล โดยมีมวลชนและประชาชนรอให้กำลังใจ และรอลุ้นคำวินิจฉัย ทันทีที่ศาลระบุว่านายพิธา ไม่มีความผิด มวลชนต่างดีใจ และแสดงความยินดีกับนายพิธา ขณะออกมาสัมภาษณ์สื่อมวลชนเป็นจำนวนมาก และต่างส่งเสียงขอให้นายพิธา ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง


พรรคก้าวไกลแจ้งว่า นายพิธา จะเดินทางไปยังอาคารรัฐสภา เพื่อทำหน้าที่ สส.ในวันพรุ่งนี้เวลา 10.30 น.​ ซึ่งหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายพิธา ไม่พ้นจากการเป็น สส. มีการเพิ่มจำนวน สส.ในสภาฯ จำนวนครบ 500 คน

ด้านนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ไม่ยึดติดกับตำแหน่ง ยินดีส่งต่อให้นายพิธา กลับมาเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งขึ้นอยู่กับการประชุมใหญ่สามัญของพรรคก้าวไกล ที่จะขึ้นในปลายเดือนเมษายนนี้ และจะรอฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีของพรรคก้าวไกล ในวันที่ 31 มกราคมนี้

คุณอาจสนใจ

Related News