เศรษฐกิจ

2 ปี ขึ้นดอกเบี้ย 8 ครั้ง 'แบงก์ชาติ' ยังนิ่ง หลังถูกตั้งคำถามหนัก - 'เศรษฐา' เล็งคุยปมขึ้นดอกเบี้ย

โดย nattachat_c

9 ม.ค. 2567

86 views

วานนี้ 8 มกราคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเรียกว่าอยู่วงจรขาขึ้น หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2565 จากระดับ 0.50% สู่ระดับปัจจุบันที่ 2.50% ซึ่ง กนง.ปรับขึ้นติดต่อกัน 8 ครั้ง โดยให้เหตุผลว่าต้องการควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่เคยแตะระดับสูงสุดที่ 8% ในปี 2565 และการขยายตัวของเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้น จึงทยอบปรับอัตราดอกเบี้ยสอดคล้องกับเศรษฐกิจ


อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นจะยุติลง เนื่องจากการประชุม กนง.วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.50% ระบุว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่เหมาะสมสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่โตใกล้เคียงระดับศักยภาพ สามารถรองรับความเสี่ยงด้านบวกและด้านลบได้ ซึ่งจะเอื้อให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว


นอกจากนี้ หลายศูนย์วิจัยเศรษฐกิจต่างคาดการณ์ทิศทางการปรับอัตราดอกเบี้ยในปี 2567 อาทิ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) Krungthai COMPASS โดยธนาคารกรุงไทยคาดว่า กนง.จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% เนื่องจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อลดลงอย่างมาก


รวมถึงเศรษฐกิจไทยยังทยอยฟื้นตัวแม้เป็นไปในลักษณะเปราะบางสะท้อนผ่านตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 3/2566 ที่ขยายตัวต่ำกว่าคาด กนง.จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ไปทั้งปี 2567 และเงินเฟ้อทรงตัวในกรอบ 1-3%


สำหรับสถิติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่ปี 2565-2566 ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2566


อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2565


ม.ค. = 0.50%


ก.พ. = 0.50%


มี.ค. = 0.50%


เม.ย. = 0.50%


พ.ค. = 0.50%


มิ.ย. = 0.50%


ก.ค. = 0.50%


ส.ค. = 0.75%


ก.ย. = 1.00%


ต.ค. = 1.00%


พ.ย. = 1.25%


ธ.ค. = 1.25%


อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2566


ม.ค. = 1.50%


ก.พ. = 1.50%


มี.ค. = 1.75%


เม.ย. = 1.75%


พ.ค. = 2.00%


มิ.ย. = 2.00%


ก.ค. = 2.00%


ส.ค. = 2.25%


ก.ย. = 2.50%


ต.ค. = 2.50%


พ.ย. = 2.50%


ธ.ค. = 2.50%

-------------
วานนี้ (8 ม.ค. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนต รีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแลอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝาก เนื่องจากมีช่องว่างห่างกันมาก ขณะที่สถานการณ์เงินเฟ้อในประเทศไทยติดลบติดต่อกันหลายเดือน ว่


ความจริงมีการพูดคุยกับ ธปท.มาตลอดอยู่แล้วในเรื่องนี้ และเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ย จุดยืนของผมชัดเจนว่า “ผมไม่เห็นด้วย แต่ท่าน (แบงก์ชาติ) ก็มีอำนาจในการขึ้น”


เมื่อถามถึงการขึ้นดอกเบี้ยในสถานการณ์เงินเฟ้อที่ต่ำมาก นายกฯมีความกังวลอย่างไร นายเศรษฐากล่าวว่า “บอกว่าต่ำ (เงินเฟ้อ) มากครับ ดังนั้นอาจจะต้องพิจารณาเรื่องการลดดอกเบี้ย ก็ฝากไว้”


เมื่อถามว่าหลังจากนี้จะไปคุยกับผู้ว่าฯ ธปท.หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “มีอยู่แล้วครับ”

--------------
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ได้ออกมาบอกว่า จะมีการประชุม กนง. ในวันที่ 7 ก.พ. 2567 ซึ่งเป็นที่น่าจับตาเรื่องดอกเบี้ยนโยบาย 


พร้อมซัดว่า แบงกชาติควรมีนโยบายที่สอดรับกับนโยบายรัฐบาล ซึ่งแบงก์ชาติควรออกมากำกับดูแลเรื่องแก๊ประหว่างดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยเงินฝาก 


ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยตั้งแต่กลางปีที่แล้ว และขึ้นอย่างต่อเนื่อง มันเกินไป และมันได้ทำลายการซื้อไปแล้ว 


ตอนนี้ อัตราเงินเฟ้อต่ำลงไปกว่า 1% แล้ว ก็ควรลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก 
------------

ศ.ดร.สุชาติ​ ธา​ดา​ธำ​รง​เวช​ ศาสตราจารย์​ด้านเศร​ษฐศาสตร์​มหภาค​ อดีต​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวงการคลัง​ กล่าวว่า​แบงค์ชาติ​ขึ้นดอกเบี้ยสูงเกินไป​ ทำให้เงินเฟ้อติดลบติดต่อกันมา​ 3 เดือนแล้ว​ หนสุดท้ายขึ้นดอกเบี้ย​ แม้เห็นตัวเลขเงินเฟ้อติดลบแล้ว​ ทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์​มีกำไรมากเกินปกติกว่า​ 2.2​ แสนล้าน​บาท​ แต่ระบบเศรษฐกิจ​ไทยเติบโตต่ำเพียง​ 2.4% ในปี​ 2566 ประชาชนยากจนลง, คนไม่มีงานทำ, ขายของไม่ได้ แบงค์ชาติ​จึงควรหันมาดูแลประชาชน​ให้มากขึ้น


2.ดูเหมือนแบงค์ชาติจะต้องการกดความเจริญเติบโตทางเศร​ษฐกิจ​ โดยขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย​จนสูงเกินไป ทำให้เงินเฟ้อติดลบ​กว่า​ -​0.5% คิดเฉลี่ย 3 เดือนติดต่อกัน ต่ำกว่ากรอบ​เป้าหมายเงินเฟ้อ (Inflation ​targeting) 1-3% ที่ตกลงไว้กับรัฐบาล​ ความจริง ทั้งผู้ว่าการและคณะกรรมการ​นโยบายการเงิน​ ต้องแสดงความรับผิดชอบแล้ว


3.ระบบสถาบันการเงินของไทย​เอง ก็ค่อนข้างผูกขาด​ พอแบงค์ชาติ​ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย​ แบงค์พาณิชย​์ ก็ขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้มากๆ​ แต่ดอกเบี้ยเงินฝากขึ้นน้อยๆ​ ขยาย​ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินกู้กับดอกเบี้ยเงินฝาก (Spread)​ ในโอกาสต่อไปข้างหน้า​ คณะกรรมการ​นโยบาย​สถาบันการเงิน​ คงต้องติดตาม, ดูแลให้เหมาะสม​ และรายงานเรื่อง​ Spread​ ต่อสาธารณชน​อย่างสม่ำ​เสมอ


4.วิธีการแก้ไขปัญหาในช่วงเวลานี้​ ก็คือ​ แบงค์ชาติ​ต้องลดดอกเบี้ย​ และเพิ่ม​ปริมาณเงิน (QE)​ ในระบบเ​ศรษฐกิจ รัฐบาลต้องเพิ่มการแข่งขัน​ในระบบแบงค์พาณิชย​์​ จากทั้งภายในและภายนอกประเทศ พร้อมกับพัฒนาตลาดเงินตลาดทุน​ ให้มีหลากหลายทางเลือกยิ่งขึ้น​ ไม่ขึ้นอยู่​กับแบงค์พาณิชย​์​ มากเกินไปเฉกเช่นทุกวันนี้


5.การลดดอกเบี้ยลง​ จะทำให้การลงทุนเอกชนเพิ่มขึ้น​ และยังทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง​ มีผลให้การส่งออกและการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น​ ซึ่งจะไปเพิ่มอัตราความเจริญเติบโตของชาติ​ (GDP growth)​ เพิ่มรายได้ประชาชน​ ทำให้มีเงินมา​บริโภคและออมเพิ่มขึ้น​ ลดหนี้ครัวเรือน​ รัฐบาลก็จะมีรายได้ภาษีเพิ่มขึ้น​ ลดหนี้ภาครัฐบาล กระผมจึงขอให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย​ เร่งรีบพิจารณา​ลดดอกเบี้ยลง​ครับ ดร.สุชาติ​ กล่าวในที่สุด
-------------

วานนี้ 8 มกราคม 2567 นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า ปัจจุบันกำลังซื้อในกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีน่าเป็นห่วงมาก เพราะจีดีพีไม่ได้ขยายตัวตามเป้า ปี 66 โตแค่ 2.5% และจีดีพีในกลุ่มธุรกิจรายย่อยมีสัดส่วนแค่ 3% หรือไม่เกิน 500,000 ล้านบาท แต่มีจำนวนผู้ประกอบการรายย่อยมากถึง 2.7 ล้านราย หรือ 85% ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเป็นรายย่อย นั่นหมายถึงว่าธุรกิจรายย่อยมีรายได้เฉลี่ยเพียง 15,000 บาทต่อเดือนต่อรายซึ่งต่ำมาก


ส่วนขนาดย่อม หรือ S มีสัดส่วนจีดีพี 14% จำนวนผู้ประกอบการ 400,000 กว่าราย // ธุรกิจขนาดกลางมีสัดส่วนจีดีพี 18% และมีจำนวนธุรกิจ 40,000 กว่าราย **จึงอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญลงลึกไปถึง จีดีพีของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่เป็นรายย่อยด้วย ไม่ใช่เพียงจีดีพีภาพรวมเท่านั้น เพราะเศรษฐกิจในท้องถิ่นยังไม่ฟื้นตัว แม้การท่องเที่ยวดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ยังขาดการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะกลุ่มชุมชนและเกษตรกร


นอกจากนี้การเข้าถึงแหล่งทุนต้นทุนต่ำมีน้อย และมีต้นทุนสูงจาก อัตราดอกเบี้ย โดยขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ความเป็นธรรมเรื่องอัตราดอกเบี้ย พร้อมปรับโครงสร้างการอนุมัติสินเชื่อให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีในส่วนการพิจารณาค่าความเสี่ยง เพราะที่ผ่านมาทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีแบกรับดอกเบี้ยสินเชื่อที่แพงกว่า รายใหญ่


ขณะที่กลไกเหล่านี้ไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจน เช่น ธุรกิจเอสเอ็มอีไปขอสินเชื่อแต่ต้องซื้อประกันควบคู่เพื่อที่จะได้ดอกเบี้ยที่ลดลง แต่ลดให้น้อยมากรวมไปถึงกลุ่มนอนแบงก์ สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ อัตราดอกเบี้ยสูง 20-30% เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ความห่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับดอกเบี้ยเงินฝากของไทยสูง ไม่สัมพันธ์กัน พร้อมขอให้รัฐบาลเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้เอสเอ็มอี สนับสนุนเทคโนโลยี เปิดโอกาสให้เอสเอ็มีเข้าถึงแหล่งทุน

----------------



คุณอาจสนใจ

Related News