สังคม

'นายยะ' โต้กลับนักธุรกิจหญิงอุทัยฯ ยันไม่ได้ปล่อยเงินกู้ ถูกชวนลงทุนแลกผลตอบแทนสูง ก่อนโดนเบี้ยว

โดย passamon_a

8 ม.ค. 2567

458 views

ความคืบหน้ากรณี นางสาวอุไรวรรณ ชาวจังหวัดอุทัยธานี นักธุรกิจค้าสัตว์ส่งออกไปสหรัฐอเมริกา ที่เข้าร้องเรียนกับเพจสายไหมต้องรอด ว่าถูกนายยะ เจ้าหนี้นอกระบบ ข่มขู่ทำร้ายร่างกาย และขู่จะเอาชีวิตครอบครัว เนื่องจากเมื่อวันที่ 26 ก.ย.66 ไปขอกู้เงินกับนายยะ โดยทำสัญญาเงินกู้กันหลายสัญญา มีทั้งส่งแบบราย 10 วัน / 7 วัน / 5 วัน และส่งรายวันก็มี รวมยอดเงินต้นจำนวน 200,000 บาท ส่งดอกวันละ 3,500 บาท ส่งมาแล้ว 3 เดือน รวมเป็นเงินกว่า 940,000 บาท


จนกระทั่ง 2-3 วันที่แล้ว ไม่มีเงินส่ง นายยะจึงโทรมาข่มขู่เอาชีวิตครอบครัว ซึ่งเมื่อวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่ไปร้องกับเพจสายไหมต้องรอด และมีการแถลงข่าว นางสาวอุไรวรรณ ได้โทรศัพท์ไปหานายยะ เพื่อจะขอต่อรอง เนื่องจากไม่มีกำลังจะส่งเงินแล้วและขอร้องนายยะ อย่าทำอะไรครอบครัวตน แต่นายยะพูดตอบกลับมาว่า "กูกำลังจะเข้าไปบ้านมึงตอนนี้แหละ ไม่ได้ยุ่งหรอก กำลังเข้าไปนี่แหละ เดี๋ยวมึงก็รู้" พอนางสาวอุไรวรรณ ขอให้เห็นใจ อย่าทำอะไรพ่อที่แก่แล้ว นายยะก็ตอบกลับมาว่า "แล้วมึงเห็นใจกูมั๊ยละ กี่วันแล้วที่มึงไม่ส่งเนี่ย เป็นแสนเนี่ย มึงมาไม่มีความสามารถอะไรล่ะ มึงไม่ต้องมาร้องไห้ เดี๋ยวมึงคอยดูแล้วกัน"


แล้วจังหวะที่กำลังคุยโทรศัพท์ มีคนมากระซิบบอกนางสาวอุไรวรรณ ให้ถามนายยะว่าจะเข้าไปที่บ้านไปทำอะไร นายยะตอบกลับมาทันทีแบบที่ยังไม่ทันได้ถาม ว่า "กูไม่ได้จะเข้าไปทำอะไร แค่จะเข้าไปคุยเท่านั้นแหละ มึงไม่ต้องกระซิบกับใครหรอก มึงเป็นหนี้ กูก็แจ้งความตามกฎหมาย แค่นั้นเอง"


ล่าสุด วันที่ 7 ม.ค.67 พ.ต.อ.ภคิน วรรณศรี ผู้กำกับการ สภ.หนองฉาง เปิดเผยว่า หลังจากได้รับเรื่องร้องเรียน ก็ส่งชุดสืบสวนป้องกันปราบปราม ลงพื้นที่ไปติดตามตัวฝั่งคู่กรณี ปรากฏว่าได้พบตัวนายยะพร้อมกับภรรยา และได้สอบถามข้อเท็จจริง จากนั้นนายยะกับภรรยา ขออนุญาตใช้พื้นที่ สภ.หนองฉาง เพื่อแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงฝั่งของตนเองบ้าง โดยตำรวจอนุญาตให้ใช้สถานที่ได้  


จากนั้น เวลา 14.00 น. นายปิยะ อายุ 37 ปี และภรรยา พร้อมด้วยผู้เสียหายอีกหลายราย นำเอกสารการทำสัญญากู้ยืมเงินในการลงทุนทำธุรกิจกับนางสาวอุไรวรรณมาแสดง โดยในสัญญามีการระบุว่าจะให้ค่าตอบแทนเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ พร้อมด้วยสลิปการโอนเงิน ซึ่งมีทั้งยอดเงินที่นายปิยะโอนไปให้นางสาวอุไรวรรณ และยอดเงินที่นางสาวอุไรวรรณโอนมาให้นายปิยะ


นายปิยะ บอกว่า สิ่งที่นางสาวอุไรวรรณไปร้องกับเพจสายไหมต้องรอดนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะไม่ใช่การกู้ยืมเงินนอกระบบตามที่ทางนางสาวอุไรวรรณกล่าวอ้าง แต่เงินก้อนดังกล่าว เป็นเงินที่ตนนำไปร่วมลงทุนในธุรกิจกับนางสาวอุไรวรรณ ตามที่เสนอชักชวนมา และบอกว่าจะให้ผลตอบแทนดี  


นายปิยะ ยืนยันว่า ตนเองไม่ได้ปล่อยเงินกู้นอกระบบให้กับนางสาวอุไรวรรณ รวมทั้งไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวกับนางสาวอุไรวรรณด้วย แต่รู้จักกันผ่านทางโซเชียลมีเดีย เริ่มแรกนั้น นางสาวอุไรวรรณได้เสนอให้ตนเองนั้นนำเงินมาร่วมลงทุนในธุรกิจของนางสาวอุไรวรรณ โดยบอกว่าจะให้ผลกำไรเป็นดอกเบี้ยในจำนวนที่สูง ตนเองเห็นว่านางสาวอุไรวรรณ ให้ผลตอบแทนดี จึงไปรวบรวมเงินจากญาติพี่น้อง มาร่วมลงทุนกับนางสาวอุไรวรรณเพิ่ม


ซึ่งที่ผ่านมานั้น นางสาวอุไรวรรณได้ส่งเงินคืนมาให้ ไม่มีปัญหาอะไร โดยเงินที่โอนมา เป็นทั้งเงินต้นที่นางสาวอุไรวรรณยืมไปลงทุนและเงินที่เป็นผลกำไรตอบแทน และมีการทำสัญญากันเอาไว้เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย จนระยะหลัง ประมาณ 1 สัปดาห์ก่อน นางสาวอุไรวรรณไม่ได้คืนเงินต้นและผลกำไรมาให้ จึงกังวลมาก และพยายามติดต่อไปทวงเงินดังกล่าวคืน แต่นางสาวอุไรวรรณบ่ายเบี่ยง ไม่รับสาย ติดต่อไม่ได้ จนวันที่ 6 ม.ค.67 นางสาวอุไรวรรณไปร้องกับเพจสายไหมต้องรอด โดยที่ตนไม่ทราบเรื่องมาก่อน


และเมื่อนางสาวอุไรวรรณโทรศัพท์มาบอกว่า ไม่มีความสามารถจะใช้เงินก้อนดังกล่าวคืน พอได้ยินก็เกิดความโมโหและใช้ถ้อยคำหยาบคายออกไป โดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะเงินจำนวนนี้ ไม่ใช่เงินของตนเองแค่คนเดียว แต่ยังเป็นเงินของพี่ป้าน้าอาที่ตนเองไปหยิบยืมต่อมาอีกทอดหนึ่งด้วย ตนเองนั้นก็หาเช้ากินค่ำ ไม่ได้มีเงินมากมายอย่างที่ทุกคนคิด ขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นการปล่อยเงินกู้นอกระบบ และตนเองก็ไม่ได้มีอาชีพปล่อยเงินกู้แต่อย่างใด แต่เป็นการลงทุนธุรกิจร่วมกับนางสาวอุไรวรรณตามที่ได้มีการทำสัญญากันเอาไว้เท่านั้น


นายปิยะ ยังร้องขอความเป็นธรรมให้กับตัวเอง ว่า เรื่องราวทั้งหมดไม่ได้เป็นไปอย่างที่นางสาวอุไรวรรณไปร้องกับเพจสายไหมต้องรอด ขอให้ทุกภาคส่วนให้ความเป็นธรรมตนด้วย ตนต้องการให้นางสาวอุไรวรรณ คืนเงินที่ตนเองและญาติ ๆ นำไปรวมลงทุน และจะขอท้าชนกับเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด เพราะตนไม่ได้ทำผิดอะไร หากผลออกมาว่าตนผิด ก็จะยอมติดคุก แต่ขอให้นางสาวอุไรวรรณออกมาพูดความจริง เพราะสิ่งที่นางสาวอุไรวรรณพูดไปนั้น นอกจากทำให้ตนเสียหายแล้ว ยังทำให้จังหวัดอุทัยธานี เสียหายไปด้วย  และตนคือผู้เสียหายตัวจริง  


นายปิยะ ยังบอกด้วยว่า ในวันนี้ (8 ม.ค.67) ตนเองพร้อมด้วยภรรยา และญาติ ๆ ที่เสียหาย ซึ่งเป็นผู้ร่วมลงทุนทุกคน จะเดินทางไปพบ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่กระทรวงมหาดไทย เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ว่าตนเองไม่ได้เป็นผู้มีอิทธิพล หรือเป็นเจ้าพ่อเงินกู้ รวมทั้งจะขอความช่วยเหลือและขอความเป็นธรรมให้กับตนเองและผู้เสียหายทุกคนที่เป็นผู้ร่วมลงทุนด้วย


ด้าน พ.ต.อ.ภคิน วรรณศรี ผู้กำกับการ สภ.หนองฉาง เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนดังกล่าว ยังไม่ปรากฏว่า มีความผิดที่เกิดขึ้นในเขตพื้นที่ สภ.หนองฉาง เพราะจากข้อมูลที่สอบถามกับพ่อและพี่ชายของนางสาวอุไรวรรณ พบว่า นางสาวอุไรวรรณ ออกจากบ้านไปอาศัยอยู่กรุงเทพฯ เมื่อประมาณ 3-4 ปีที่ผ่านมา ส่วนที่นางสาวอุไรวรรณ บอกว่า ถูกเจ้าหนี้ข่มขู่ว่าจะทำร้ายพ่อและคนในครอบครัว แต่เมื่อลงพื้นที่ไปสอบถามครอบครัว ก็ไม่พบว่ามีใครเข้ามาข่มขู่ แต่มีคนมาสอบถามหาบ้านของนางสาวอุไรวรรณเหมือนกัน ดังนั้นเพื่อความสบายใจของผู้ร้องเรียน ทางตำรวจก็จัดเจ้าหน้าที่ไปคอยดูแลความปลอดภัยให้  


ขณะที่ นายบำรุง วงษ์ปาน กำนันตำบลหนองนางนวล เปิดเผยว่า จากการสอบถามพ่อ พี่ชาย และลูกสาว ของนางสาวอุไรวรรณ ยืนยันว่าไม่มีใครโทรศัพท์เข้ามาข่มขู่ หรือมาข่มขู่ถึงในบ้าน แต่ร้านค้าในหมู่บ้าน บอกว่า มีคนมาสอบถามว่าบ้านของนางสาวอุไรวรรณอยู่ที่ไหน ส่วนเรื่องการกู้เงินนอกระบบนั้น ไม่ทราบว่าไปกู้กันยังไง แต่พี่ชายของนางสาวอุไรวรรณ เคยมาขอยืมเงินเพื่อส่งไปให้น้องสาวใช้หนี้เหมือนกัน


ส่วนลูกสาวของนางสาวอุไรวรรณ บอกว่า แม่เคยเล่าว่า ถูกคนปล่อยเงินกู้มาข่มขู่ว่าจะเผาบ้าน จะฆ่าให้ตายทั้งบ้าน แต่ว่าที่ผ่านมา ยังไม่มีใครมาที่บ้านเลย มีแต่ทราบจากร้านค้าในหมู่บ้าน ว่ามีคนมาถามหาว่าบ้านอยู่ไหน ส่วนเรื่องแม่เป็นหนี้ ยอมรับว่าแม่เป็นหนี้จริง เพราะลุงก็เคยไปหยิบยืมเงินจากคนในหมู่บ้าน เพื่อเอาไปให้แม่ใช้หนี้อยู่บ่อยครั้ง


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/Dtcreh05Kzg

คุณอาจสนใจ

Related News