อาชญากรรม

เปิดแรงจูงใจ 'ลุงพล' เป็นเหตุให้ 'น้องชมพู่' ถึงแก่ความตาย ทนายลั่นแค่แพ้คะแนนยกแรก ไม่ได้แพ้น็อก

โดย nattachat_c

21 ธ.ค. 2566

265 views

จากกรณี ออกหมายจับ ​นายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ใน 3 ข้อหา คดีน้องชมพู่ ที่เสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา​ บนเขาหินเหล็กไฟ ที่มีการฟันธงว่า เด็กเล็กขนาดน้องชมพู่ ไม่สามารถขึ้นไปเองได้อย่างแน่นอน ตามมาด้วยหลักฐานที่นำไปสู่การออกหมายจับ  


รายงานข่าวจากทีมสืบสวนสอบสวนแจ้งว่า ได้มีการสรุปประเด็นสาเหตุที่ นายไชย์พล ตกเป็นผู้ต้องหากระทำผิด โดยทำให้น้องชมพู่ถึงแก่ชีวิตนั้น เชื่อว่ามาจากพฤติกรรมที่เป็นคนโมโหร้าย โดยเฉพาะกับเด็ก มักเป็นคนขี้รำคาญหากเด็กร้องงอแง หรือไม่ได้ดั่งใจ ซึ่งพบว่ามีกรณีตัวอย่าง เกิดกับเด็กที่อยู่ใกล้ชิดกับลุงพลรายอื่น มักถูกลุงพลดุด่า และเฆี่ยนตีบ่อย ๆ


สำหรับกรณีน้องชมพู่นั้น มีข้อสันนิษฐาน​ว่า ในวันเกิดเหตุ ลุงพลมาพบน้องชมพู่ที่บ้าน แล้วชักชวนออกไปเที่ยวเล่น ระหว่างทางเมื่อไปถึงบริเวณป่าที่ห่างออกไปจากบ้าน 900 เมตร คาดว่าน้องชมพู่จะร้องไห้ตกใจ เนื่องจากเป็นเด็กที่กลัวป่า ทำให้ลุงพลโมโห อาจดุด่า และทำร้ายน้องชมพู่อย่างพลั้งเผลอ


โดยผลการตรวจพิสูจน์ของแพทย์นิติเวช พบร่องรอยชี้ว่า มีการร้องไห้อย่างตกใจมาก และเป็นไปได้ที่จะถูกอุดปาก คาดว่าลุงพลคงใช้มือปิดปากจนเด็กแน่นิ่งไป  แล้วเกิดความตกใจ จึงนำร่างนั้นไปทิ้งไว้ภายในป่า สอดรับกับการที่สุนัขดมกลิ่นของตำรวจ ได้พบกลิ่นของน้องชมพู่ที่ป่า ห่างจากบริเวณบ้านประมาณ 900 เมตรดังกล่าว อย่างสอดคล้องตรงกัน


ชุดสืบสวนสอบสวนเชื่อว่า ในภายหลัง ลุงพลน่าจะย้อนกลับมาบริเวณที่ทิ้งร่างเด็กเอาไว้ แต่ไม่พบเด็ก เนื่องจากน้องชมพู่ยังไม่ถึงแก่ความตาย สอดรับกับการตรวจพิสูจน์ที่พบว่า น้องชมพู่มีรอยช้ำที่ฝ่าเท้า น่าจะเกิดจากการเดินเท้าเป็นระยะทางไกล จึงเป็นไปได้มากว่า เมื่อน้องชมพู่ฟื้นจากสลบ แล้วพยายามเดิน จนหลงเข้าไปในป่า และยังมีรอยขีดข่วนตรงกับสภาพป่าบริเวณนั้น ที่มีต้นไม้มีหนามจำนวนมาก รวมทั้งเด็กหลงป่าในสภาพที่ขาดน้ำขาดอาหารจนอ่อนแรง สอดรับกับผลพิสูจน์ของนิติเวชที่ว่า เสียชีวิตเพราะขาดน้ำ และอาหาร


ส่วนการที่พบร่างของน้องชมพู่บนภูเหล็กไฟนั้น หลักฐานชี้ว่า น้องชมพู่ ไม่ได้เดินขึ้นไปเองอย่างแน่นอน ตำรวจเชื่อว่า เมื่อลุงพลมาพบน้องชมพู่ที่หลงอยู่ในป่าใกล้หมู่บ้าน จึงตัดสินใจนำเด็กขึ้นไปบนภูเหล็กไฟ จัดวางร่างเพื่ออำพรางคดี อีกทั้งมีพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงถึงลุงพล ตกอยู่ในบริเวณที่พบศพน้องชมพู่บนภูเหล็กไฟ ทำให้ตำรวจขมวดปมคดีนำมาสู่ข้อกล่าวหาลุงพล

------------
ภายหลังศาลอนุญาตให้ประกันตัว ลุงพล ได้มีการแถลงข่าว โดยมีป้าแต๋น พร้อมด้วย นายสุรชัย ชินชัย หรือทนายเบิ้ม และ ทีมทนายความ


โดยช่วงที่รถตู้ของลุงพลถึงโรงแรม ลุงพลได้ลงมาจากรถตู้ในสภาพที่อิดโรย และมีสีหน้าเคร่งเครียดกว่าทุกครั้ง ผิดกับป้าแต๋นที่มีสีหน้ายิ้มแย้ม จากนั้นแฟนคลับได้มอบดอกไม้และช่อดอกไม้เงินให้ลุงกับป้าแต๋น ก่อนที่ลุงพล จะกล่าวว่า สำหรับลุงก็น้อมรับคำตัดสินศาลชั้นต้น พอดีลุงได้รับคำสั่งศาลออกมาเรียบร้อย ต่อไปคงเป็นหน้าที่ของทนายอธิบายให้สื่อฟัง ขอบคุณผู้ใหญ่ใจดี และเอฟซีทั่วโลก


เมื่อถามว่าลุงพลผิดหวังสำหรับผลคำสั่งของศาลหรือไม่นั้น เจ้าตัวไม่ตอบ บอกเพียงว่า "ผมไม่ค่อยรู้ และไม่ค่อยเข้าใจอะไรมาก ตอนที่อ่านคำพิพากษาก็ฟังไม่ค่อยทันแต่พอเข้าใจได้"


หลังจากนี้จะขอมอบให้ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของทีมทนายความต่อสู้ และพิสูจน์ว่า “ตนไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด จากการสังเกตการแถลงข่าวครั้งนี้ของลุงพลมีท่าทีเคร่งเครียดและบางครั้งก็หยุดนิ่งคล้ายกับการกลั้นการร้องไห้ไว้และก็ขอให้ป้าแต๋นได้พูดเปิดใจ


สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากการแถลงข่าวลุงพลมีสีหน้าที่เคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด และยังคงมีอาการน้ำตาคลอร้องไห้อยู่เป็นระยะ ทีมข่าวจึงเข้าไปสอบถามว่าที่ร้องไห้เพราะเสียใจหรือเพราะเหตุใด ลุงพลตอบว่า ที่ร้องไห้เพราะตื้นตันใจ วันนี้เหมือนเป็นวันที่ยกภูเขาออกจากอก ไม่ว่าทางศาลจะอ่านคำพิพากษามาแบบไหนเราก็น้อมรับ


“ที่เห็นร้องไห้และเงียบในวงแถลงข่าวไม่ได้เสียใจอะไรแต่มันพูดไม่ออก”


ส่วนสีหน้าท่าทางที่ดูเคร่งเครียดกว่าทุกครั้งลุงพลบอกว่า เป็นปกติที่ทุกครั้งในการแถลงข่าวก็จะเครียดและมีอาการตื้นตันเป็นบางครั้ง การร้องไห้ในวันนี้ส่วนหนึ่งก็ดีใจที่ได้มาถึงในวันนี้


ขณะที่ ป้าแต๋น กล่าวว่า ขอบคุณเอฟซีทุกท่านที่คอยติดตามและให้กำลังลุงพลกับป้าแต๋น ศาลเดียวไม่จบแน่นอน ศาลตัดสินเราน้อมรับหมด พร้อมต่อสู้ในชั้นศาลอุทธรณ์ต่อไป ขอบคุณสำหรับดอกไม้และความปราถนาดีที่ให้กำลังใจลุงพลกับป้าแต๋น พร้อมต่อสู้ในชั้นต่อๆ ไป ในชั้นอุทธรณ์เป็นเรื่องของทนาย


เมื่อถามว่าป้าแต๋นอยากจะพูดอะไรตอบโต้หรือไม่ หลังก่อนหน้านี้เคยให้สัมภาษณ์หลังศาลตัดสินในวันนี้ จะพูดอะไรบางอย่างที่เก็บไว้มานาน ป้าแต๋นบอกว่ายังไม่ขอพูดในวันนี้ขอรอให้ถึงศาลฎีกาก่อน แล้วจะพูดตอบโต้”

---------------
ศาลมองว่าเป็นจำเลยที่ 1 ส่วนฝ่ายโจทก์เรียกค่าปลงศพ 3 แสนบาท ศาลมองว่าให้ชดใช้ 1.5 แสนบาท ส่วนค่าขาดการอุปการะเลี้ยงดู โจทก์เรียก 5 ล้านบาท ศาลให้ชดใช้ 1,020,000 บาท

---------------


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/1o6x35_xkro

คุณอาจสนใจ

Related News