เลือกตั้งและการเมือง

นายกฯ ฉุนขึ้นค่าแรงต่ำติดดิน - ชี้ 2 บาท 3 จว.ชายแดนใต้ยังซื้อไข่ไม่ได้-ยืนยันไม่มีล็อบบี้กฤษฎีกาตีความเงินกู้

โดย kanyapak_w

9 ธ.ค. 2566

426 views

นายกฯ ฉุนขึ้นค่าแรงต่ำติดดิน - ชี้ 2 บาท 3 จว.ชายแดนใต้ยังซื้อไข่ไม่ได้ - โต้ "ต่างชาติหนี" เป็นแค่วาทะกรรม ยืนยันรัฐบาลมีนโยบายช่วยนายจ้างลดรายจ่าย-ดึงดูด ตปท.ลงทุน



นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังคณะกรรมการค่าจ้าง มีมติปรับขึ้นค่าแรง ตั้งแต่ 2-16 บาททั่วประเทศ โดยยอมรับว่า ไม่สบายใจอย่างมาก เนื่องจาก ค่าแรงขั้นต่ำของไทยขึ้นมาน้อยมาก แต่ค่าครองชีพสูง รัฐบาพยายาลทำหลายวิธีเพื่อลดค่าใช้จ่าย และลดรายจ่าย ทั้งค่าไฟ และค่าน้ำมัน รวมถึงการพักหนี้เกษตรกร การแก้หนี้นอกระบบ-ในระบบ เพื่อบรรเทาความทุกข์ของประชาชน แต่การเพิ่มรายได้ ก็เป็นเรื่องสำคัญ และประชาชนหลายสิบล้านคน ก็ยังต้องพึ่งค่าแรงขั้นต่ำจำนวนมาก แต่บางจังหวัดกลับมีการปรับเพิ่มเพียง 2-7 บาท ซึ่งน้อยเกินไป สวนทางกับความพยายามของรัฐบาล ที่พยายามยกระดับอุตสาหกรรมไทยที่มีเทคโนโลยีสูง เพื่อประโยชน์ผู้ประกอบการ ทำให้ประชาชนมีรายได้สูง และตนก็ได้พยายามเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อเชิญชวนนักลงทุน ซึ่งรัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่



นายกรัฐมนตรี ยังวิงวอน และอ้อนวอนไปยังนายจ้างว่า แรงงานไทยเป็นผู้ถูกผลกระทบมากที่สุด ที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ทั้งที่รัฐบาลพยายามดำเนินการทุกอย่างแล้ว จึงขอให้สนับสนุนการขึ้นรายได้ให้นายจ้าง ไม่ใช่กดค่าจ้างแรงงาน ทั้งที่นายจ้างเอง ก็ได้ประโยชน์จากมาตรการลดค่าไฟของรัฐบาล จึงถึงเวลามาทบทวนไม่ให้ชีวิตแรงงานไทยต่ำติดดิน และคืนให้กับกำลังสำคัญในภาคการผลิต เพราะค่าแรงประเทศข้างเคียงประเทศไทย อย่างเกาหลีใต้ หรือสิงคโปร์ ค่าแรงขั้นต่ำต่อวันกว่า 1,000 บาท ดังนั้น นายจ้างจึงจะยอมให้แรงงานไทยเป็นพลเมืองชั้น 2 หรือ ชั้น 3 ของโลกหรือ จึงย้ำว่า มติของคณะกรรมการค่าจ้างนั้น จะต้องมีกรทบทวนใหม่ และจะต้องมีการพูดคุยกัน



นายกรัฐมนตรี ยังตั้งข้อสงสัยต่อการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 2 บาท/วัน พร้อมระบุว่า เดือนที่แล้วตนเองได้มีโอกาสไปพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย ถึงเรื่องนิคมอุตสาหกรรม และการยกระดับการท่องเที่ยว การเปิดด่านการค้าการลงทุน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ลงทุน จึงไม่เข้าใจว่า เหตุใดจึงมีการปรับขึ้นเพียง 2-3 บาท ไข่เพียง 1 ลูกก็ยังไม่สามารถซื้อได้ จึงไม่สบายใจเป็นอย่างมาก และจะต้องมีการพูดคุยกับคณะกรรมการ 3 ฝ่าย หรือไตรภาคีอีกครั้ง ภายหลังช่วงหยุดยาวนี้ เพราะนโยบายค่าแรง ถือเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลชุดนี้



ส่นควรจะปรับขึ้นไปที่เท่าไรจึงจะเหมาะสมนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า จะต้องขึ้นไปสูงกว่านี้ โดยจะรอฟังเหตุ และผลของคณะกรรมการค่าจ้าง และคณะกรรมการ 3 ฝ่ายด้วย แต่เห็นว่า จังหวัดใหญ่ ๆ ค่าแรงควรจะถึง 400 บาท จังหวัดเล็ก ๆ อาจจะต้องพิจารณาตามความเหมาะสม



นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณีที่จะมีผู้ประกอบการส่วนหนึ่งให้เหตุผลเรื่องเศรษฐกิจของประเทศที่ซบเซาว่า รัฐบาลก็พยายามช่วยเหลืออยู่ ทั้งการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ การลดค่าไฟ ที่ทุกคนได้ประโยชน์ จาก 4.50 บาทลงมาเป็น 3.99 - 4.20 บาท ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลักอยู่แล้ว



ส่วนกังวลถึงการขึ้นค่าแรงจะทำให้ผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ย้ายฐานการผลิตหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ไม่มี และเห็นเป็นเพียงวาทะกรรม เพราะจะไม่มีใครย้ายเพราะค่าเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ จาก 300 บาท เป็น 400 บาท เพราะรัฐบาล มีมาตรการสนับสนุนทางด้านภาษี มีระบบสาธารณสุข และการศึกษาที่ดี รวมถึงยังมีระบบโครงสร้างพื้นฐาน และระบบการคมนาคมที่ดีพร้อมสำหรับการลงทุน รวมถึงยังมีการลง MOU ร่วมกันในหลายประเทศ ซึ่งหากไม่มีการช่วยกัน ก็จะดำเนินการต่อลำบาก



นายกรัฐมนตรี ยังฝากถึงแรงงานติดตามการดำเนินการของรัฐบาลว่า มีความจริงใจต่อเรื่องดังกล่าวมากเพียงใด เพราะรัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดอยู่แล้ว โดยไม่ได้นำภาระไปให้ผู้ประกอบการ หรือนายจ้างเพียงอย่างเดียว เพราะมีการลดรายจ่ายช่วย และดึงดูดเม็ดเงินหลายวิธีการ จึงขอให้เห็นใจผู้ใช้แรงงาน และยืนยันว่า ไม่ใช่การหาเสียง เพราะการเลือกตั้งได้จบลงไปแล้ว



ส่วนหากกระทรวงแรงงานจะเสนอการปรับขึ้นค่าแรงดังกล่าวให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันที่ 12 ธันวาคมนี้เลยหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ยังไม่ทราบ แต่หากมีการเสนอเข้ามาให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ตนก็จะเป็น 1 เสียงที่ไม่เห็นชอบ



นอกจากนี้นากยฯ ยังกล่าวภายหลังกระทรวงการคลังส่งคำถามการกู้เงิน 500,000 ล้านบาท เพื่อมาดำเนินนโยบายดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท โดยยังไม่ทราบว่า กฤษฎีกาจะใช้เวลาในพิจารณานานเท่าใด แต่รัฐบาลทำดีที่สุดแล้วไม่ต้องล็อบบี้ โดยนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ระบุว่า คำถามที่ถามไปยังกฤษฎีกานี้ มีเนื้อหาอย่างไร แต่รัฐบาลได้ให้ข้อมูลถึงความเร่งด่วนจำเป็น โดยมั่นใจว่า จะสามารถดำเนินการได้ทันในเดือนพฤษภาคม 2567 ซึ่งยังมั่นใจ เพราะยังไม่มีตัวชี้วัดใดมาว่าจะไม่สำเร็จ หากสามารถดำเนินการได้ ก็จะมีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศถึง 500,000 ล้านบาท ทำให้เกิดการจ้างงาน และการผลิตสูงขึ้น นายจ้างจะมีรายได้สูงขึ้น การค้าขายดีขึ้น



ส่วนรัฐบาลได้เตรียมแผนสำรองใด ๆ ไว้ในกรณีการตีความมีปัญหาหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า จะต้องรอดูปัญหาที่ออกมาก่อนว่าคืออะไร หรือข้อโต้แย้งเป็นอย่างไร แล้วจึงค่อยมาพิจารณากันอีกครั้ง



นายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวถึงกรณีที่มีผู้ออกมาระบุนโยบายดังกล่าว "ใช้ได้ไม่ทุกคนแต่เป็นหนี้ทั่วถึง" ว่า ก็เป็นเพียงวาทกรรม ตนเองได้อธิบายมามากแล้ว และได้ผ่านการฟังคำแนะนำจากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยแล้วว่า อย่าแจกทั่ว คนรวยไม่ต้องแจก ซึ่งตนเองก็ได้โต้แย้งกลับไปถึงนิยามของคนรวย ซึ่งตนต้องเป็นคนชี้ และกำหนดเองว่า คนรวยต้อมีรายได้ต่อเดือนไม่ถึง 70,000 บาท หรือมีเงินฝากไม่ถึง 500,000 บาท ซึ่งตนเองก็พยายามรับฟังอยู่แล้ว






แท็กที่เกี่ยวข้อง  ข่าวการเมือง

คุณอาจสนใจ

Related News