อาชญากรรม

ชาวบ้านกังวล 'เซฟเฮาส์' ช่างกลยิงครูเจี๊ยบ รวมตัวกินเหล้า-เสพกัญชา-ท่องคำปฏิญาณ

โดย nattachat_c

24 พ.ย. 2566

540 views

หลังจากที่ เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล จับกุมขบวนการองค์กรอาชญากรรมขนาดเล็ก ซึ่งจับผู้ต้องหาได้ 9 ราย ซึ่งเกี่ยวข้องกับมือยิง น.ส.ศิรดา อายุ 45 ปี หรือครูเจี๊ยบ และ นายธนสรณ์ อายุ 19 ปี หรือน้องหยอด นักศึกษา มทร.รัตนโกสินทร์ วิทยาเขตอุเทนถวาย เสียชีวิต ที่ถนนสุนทรโกษา ซึ่งสามารถจับผู้ต้องหาบางส่วนได้ที่เซฟเฮาส์ ในซอยวงศ์สว่าง 19 แยก 2 จังหวัดนนทบุรี


ต่อมา วานนี้ (23 พ.ย. 66) ทีมข่าวได้ตรวจสอบบริเวณเซฟเฮาส์ ในซอยวงศ์สว่าง 19 แยก 2 จังหวัดนนทบุรี ของกลุ่มผู้ก่อเหตุยิงครูเจี๊ยบ และน้องหยอด


โดยบ้านหลังนี้ มีเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวา สูง 2 ชั้น ชั้นบนแบ่งเป็น 3 ห้องนอน ห้องโถงกลาง ส่วนชั้นล่างแบ่งเป็นห้องโถง และห้องครัว

-------------

ทีมข่าวได้สอบถามกับเพื่อนบ้านในละแวกนี้ บอกว่า กลุ่มนักศึกษาได้เข้ามาเช่าบ้านประมาณ 2-3 เดือน แล้ว


ส่วนใหญ่จะเข้ามาในบ้านตอนกลางคืน โดยมีทั้งจักรยานยนต์ รถยนต์ และกระบะ เข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้าน และในบ้าน บ่อยครั้ง ส่วนช่วงเวลากลางวัน ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร มีแต่เพียงออกมาซื้อของกิน และน้ำดื่ม ก่อนเข้ากลับบ้านไป


บ้านหลังนี้จะล็อกรั้วด้านใน ถ้ามีคนจะเข้ามาในบ้าน จะต้องโทรศัพท์หาบุคคลในบ้านให้มาเปิดก่อน


บางครั้งจะมีคนมารวมตัว ไม่ต่ำกว่า 20-30 คน แต่ไม่มีการส่งเสียงดังรบกวนเพื่อนบ้าน มีเพียงบางครั้ง ที่จะได้ยินคำพูดของแกนนำ ในลักษณะให้ท่องคำปฏิญาณ ปลุกใจสร้างความฮึกเหิม โดยกลุ่มที่เป็นเด็กกว่าก็มักจะตอบรับคำว่า “ครับพี่”


ซึ่งตอนนั้น เพื่อนบ้านก็ยังไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งมีข่าวการจับกุม  จึงนำเรื่องมาปะติดปะต่อได้ ส่วนกลุ่มนี้จะเป็นนักศึกษาของสถาบันไหนนั้น ไม่รู้ แต่จากการสังเกตรูปร่าง และหน้าตา ก็พบว่า คล้ายกับเด็กที่เรียนอาชีวะ

-------------

ขณะที่ เพื่อนบ้านอีกคนหนึ่ง บอกว่า จากการสังเกตพฤติกรรมของวัยรุ่นกลุ่มนี้ พบว่า มีการรวมตัวกันดื่มสุรา และเสพกัญชา บริเวณชั้น 2 ของบ้าน


บางครั้งช่วงกลางดึก ก็จะมีเสียงท่องคำปฏิญาณเช่นกัน แต่ก็ไม่เคยได้พูดคุยกับเด็กกลุ่มนี้ ยอมรับว่า เริ่มกังวล หลังจากที่ตำรวจจับกลุ่มนี้ไป เพราะในบ้านยังมีคนชรา และเด็กเล็ก ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ เนื่องจากกลุ่มที่ถูกจับตัวไปนั้น ยังไม่หมด ยังมีอีกหลายคนที่เคยเข้ามาที่นี่ และไม่รู้จะกลับมาอีกหรือไม่ ยังกังวลเรื่องความปลอดภัย


ซึ่ง เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 66 ตำรวจเข้าตรวจค้นเสร็จแล้ว ยังพบว่า มีกลุ่มวัยรุ่น 3 คน ขี่จักรยานยนต์มา แล้วปีนรั้วเข้าไปในบ้าน จึงตะโกนถามไปว่า “เข้าไปทำอะไรในบ้าน ตำรวจเขาไม่ให้เข้า” เด็กกลุ่มนั้น ก็เลยตอบกลับมาว่า “ติดต่อเพื่อนที่อยู่ในบ้านไม่ได้ จึงเข้าไป” จากนั้น ก็สังเกตว่า เหมือนหยิบสิ่งของบางอย่าง แล้วปีนรั้วกลับออกไป

-------------
หลังจาก เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล จับกุมองค์กรอาชญากรรมขนาดเล็ก โดยเป็นการเปิดปฏิบัติการ ตามจับกุมตัวกลุ่มผู้ร่วมขบวนการ 9 ราย เมื่อช่วงเช้า วันที่ 22 พ.ย.66 และได้นำตัวมาสอบปากคำ


แต่มี 1 ราย เป็นผู้ต้องหารายที่ 9 คือ นายธนภัทร เกตุชาติ ผู้ต้องหาตามหมายจับฐานความผิดร่วมกัน สมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่บัญญัติไว้ตามภาค 2 นี้ (อั้งยี่ซ่องโจร) มีอาการช็อกต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาล


ล่าสุด วานนี้ (23 พ.ย. 66) เวลา 12:15 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนนครบาลควบคุมตัว นายธนภัทร เกตุชาติ มายังกองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล หลังจากที่รักษาตัวเป็นที่เรียบร้อย


เมื่อมาถึง ผู้สื่อข่าวสังเกตพบว่า นายธนภัทร มีท่าทีที่อิดโรย และเดินอย่างเชื่องช้า ก่อนจะนำตัวเข้าไปในกองบังคับการ


จากนั้น เวลา 13:45 น. หลังจากดำเนินการสอบปากคำไปประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัว นายธนภัทร ออกมาขึ้นรถ เพื่อนำตัวไปยัง สน.ทุ่งมหาเมฆ


ซึ่งในระหว่างนั้น สื่อมวลชนสังเกตเห็นว่า นายธนภัทรมีท่าทีที่อิดโรย เดินอย่างเชื่องช้าเช่นเดียวกันกับตอนมาถึง สื่อมวลชนพยายามสอบถามว่า อาการเป็นอย่างไรบ้างและอยากจะพูดอะไรหรือไม่ แต่นายธนภัทรไม่ตอบคำถามใด ๆ

-------------

ในเวลาต่อมาตำรวจสืบสวนนครบาลคุมตัว นายธนภัทร มาส่งยังพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ


เมื่อตำรวจคุมตัว นายธนภัทร มาถึงที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ผู้สื่อข่าวได้พยามสอบถามหลายประเด็นกับตัว นายธนภัทร ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องตามข้อหาที่ตำรวจแจ้ง หรือที่มีข้อมูลว่า ตัวนายธนภัทรทำหน้าที่เป็นพ่อบ้าน หรือเหรัญญิก ใช่หรือไม่ แต่ตัวนายธนภัทรไม่ได้มีการตอบคำถามใดใดกับสื่อมวล


แต่จากที่สื่อมวลชนสังเกตเห็น นายธนภัทรมีอาการลักษณะเดินอ่อนแรง ต้องให้ตำรวจฝ่ายสืบสวนของกองบังคับการสืบสวนสอบ  ประคองตลอด จนถึงห้องสอบสวน

-------------

ขณะที่มีรายงานว่า บ้านหลังดังกล่าว มีลักษณะพฤติการณ์ของการรวมตัวกันเพื่อเรียนรู้ ทักษะในการก่อเหตุ


โดยมีข้อมูลว่า กลุ่มผู้ต้องหาส่วนมากที่ถูกจับกุมในครั้งนี้ เป็นเพียง กลุ่มที่เพิ่งเข้ามา เพื่อรับการฝึกฝนถ่ายทอดประสบการณ์จากรุ่นพี่ (ระดับอนุบาล)


เพราะจะเห็นได้ว่า ตำรวจสามารถจับกุม ผู้ที่มีประสบการณ์ เคยร่วมก่อเหตุในคดีดัง ก่อนหน้านี้มาแล้ว(ระดับมัธยม / ยิงหน้าคณะเภสัช)


รวมถึงยังมีบางราย ที่เรียนรู้ผ่านพ้นขั้นแรก และออกไปลองดูงานมาแล้วหนึ่งครั้ง (ระดับประถม / ไปสังเกตการณ์ การยิงงานแต่งศิษย์เก่าอุเทน ) มาอยู่ในจุดเกิดเหตุ ที่มีการจับกุมวานนี้ด้วย


ทั้งนี้ ได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวระดับสูง ว่า ผู้ต้องหารายดังกล่าว ในวันที่ถูกจับกุมตัวนั้น ผู้ต้องหาได้ดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำกระท่อม และอยู่ในอาการมึนเมา เมื่อถูกจับกุม ทำให้เกิดอาการตกใจ จึงเป็นลม และหมดสติไป

-------------

สืบเนื่องจาก ตร.ชุดสืบสวนนครบาล จับกุมกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุยิง น.ส.ศิรดา หรือครูเจี๊ยบ สินประเสริฐ และ นายธนสรณ์ หรือน้องหยอด อายุ 19 ปี เสียชีวิต ได้ทั้งหมด 8 คน

โดยขณะเข้าจับกุม และตรวจค้นในเซฟเฮาส์ พบภาพของภาพน้องนักศึกษาวิศวะกรรมไฟฟ้า ชื่อน้องศตวรรษ ที่ถูกยิงเสียชีวิต


ซึ่งทางกลุ่มแก๊งนี้ ได้นำรูปมาแขวนไว้เพื่อเตือนใจว่า นี่คือรุ่นพี่ที่เป็นเหยื่อของคู่อริ และต้องไปเอาคืน


โดย นายศตวรรษ รอบรู้ อายุ 23 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน อยู่ อ.เชียงคาน จ.เลย ถูกยิงเมื่อวันที่ 3 เมษายน 66 ถูกสองคนร้าย ขี่จักรยานยนต์ประกบยิง กระสุนเข้าตามร่างกายรวม 6 นัด เสียชีวิตใกล้ซอยจรัญสนิทวงศ์ 30/1 แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กทม. 

-------------

วานนี้ (23 พ.ย. 66) เวลา 18.10 น. ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังบ้านของ นางอุไรวรรณ ผิววัน อายุ 46 ปี บ้านนาป่าหนาด ต.เขาแก้ว อ.เชียงคาน แม่ของนายศตวรรษ หรือน้องภูมิ ที่ถูกยิง เมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่ผ่านมา


นางอุไรวรรณ แม่ของน้องภูมิ เปิดเผยว่า แม้จะผ่านมานานกว่า 7 เดือนแล้ว ตนเองก็ยังคงทำใจไม่ได้ ที่ต้องสูญเสียลูกชายที่รักไป กับเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทุกวันนี้ ยังคิดถึงเวลานอน ก็ยังแอบร้องไห้ โดยเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ทางครอบครัวเพิ่งทำบุญ 100 วัน ให้กับน้องภูมิ ตามประเพณี


นางอุไรวรรณ บอกว่า เมื่อคืน (22 พ.ย. 66) ตนเองได้ดูข่าว ที่เจ้าหน้าที่บุกเข้าไปค้นที่พักของ 8 ผู้ต้องสงสัย และมีภาพถ่ายของลูกชายอยู่ภายในห้องพัก ลักษณะเหมือนกับการบูชารูปถ่าย เพื่อจะตามล้างแค้นคู่อริ


ซึ่งพอตนเองเห็น ตอนแรกยังไม่แน่ชัดว่าเป็นรูปของลูกชาย แต่พอลูกสาวคนโตโทรศัพท์มายืนยัน ยอมรับว่าตกใจมาก และไม่รู้ว่าเพื่อน ๆ ของลูกทำแบบนี้


โดยส่วนตัว ตนเองไม่อยากให้เพื่อนของลูกทำแบบนี้ เพราะอยากให้นึกถึงครอบครัวที่ต้องสูญเสียเหมือนกับครอบครัวของตนเอง  เพราะพ่อแม่ก็คงต้องทำใจยากลำบาก และเสียใจไม่แพ้เหมือนเช่นตนเอง


ส่วนกลุ่มเพื่อนของลูกตนเอง ก็เชื่อว่าเป็นการล้างแค้นแทนลูกชายของตนเอง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ตนเองไม่เห็นด้วย และไม่อยากจะให้เพื่อนของลูก ต้องมาล้างแค้นแทนลูกชายของตน อยากให้ทุกคนตั้งใจเรียน และห่วงพ่อแม่-ครอบครัว ที่ต้องสูญเสียลูกชายไป  และอยากให้คดีของลูกชายเป็นคดีสุดท้าย เพราะไม่อยากให้เพื่อนลูกชายที่ตนเองรักเหมือนลูก ต้องมาเจอเหมือนลูกของตน


นางอุไร ยังบอกอีกว่า ในเรื่องคดีของลูกชายตนเอง ผ่านมา 7 เดือนแล้ว ตำรวจยังไม่สามารถจับคนร้ายได้ ดังนั้น จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็วที่สุดเพราะตนเองก็อยากจะเห็นหน้าคนที่ทำร้ายลูกชายของตนเองเช่นกัน และอยากจะถามคนร้ายว่า ทำได้อย่างไร ทำไมจิตใจถึงได้โหดร้ายแบบนี้

-------------
จากกรณี การสืบสวนนผู้ต้องหาก่อเหตุยิง น.ส.ศิรดา หรือครูเจี๊ยบ สินประเสริฐ และ นายธนสรณ์ หรือน้องหยอด อายุ 19 ปี เสียชีวิต จากการขยายผล พบว่า หนึ่งในผู้ต้องหาเคยร่วมก่อเหตุในคดีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงในงานแต่งงาน เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ย่านสุทธิสาร ซึ่งทางเจ้าบ่าวเป็นศิษย์เก่าของอุเทนถวาย


วานนี้ (23 พ.ย. 66) ทีมข่าวได้พูดคุยกับ คุณแม่ของน้องเฟิร์ส


ซึ่งน้องเฟิร์สเสียชีวิตจากการถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงในงานแต่ง เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2565 ในซอยสุทธิพงศ์ 1/1 ถนนสุทธิสารวินิจฉัย แขวงและเขตดินแดง และพบว่า ในคดีล่าสุด ที่คนร้ายก่อเหตุยิงน้องหยอด และลูกหลงไปถูกครูเจี๊ยบ ก็พบว่า หนึ่งในผู้ต้องหา เป็นหนึ่งในผู้ต้องหาในคดีของลูกชายตนเองเช่นกัน


คุณแม่ เปิดใจว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ลูกชายไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้งสองสถาบัน แต่เป็นเพื่อนของฝ่ายเจ้าบ่าว ตั้งแต่สมัยอนุบาล ที่ไปร่วมงานแต่งงาน ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นเหยื่อ หรือลูกหลง


ตอนนี้ ระยะเวลาผ่านมา 1 ปีกว่า คุณแม่ติดตามกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมาโดยตลอด ซึ่งทราบจากทาง ผู้กำกับการ สน.สฺทธิสาร ท่านใหม่ ซึ่งมาดำรงตำแหน่งใหม่ เมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่า ได้มีการเซ็นคำสั่งฟ้อง ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน ที่ผ่านมาแล้ว


คุณแม่ก็มีการติดตามสอบถามอยู่ตลอดว่า ทางร้อยเวรจะมีการส่งให้อัยการเมื่อไหร่ แต่ทุกครั้งที่เช็ก ทางอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 4 ก็ยืนยันว่า ยังไม่มีการส่งสำนวน


กระทั่ง เวลาล่วงเลยมายาวนานขึ้น จึงโทรศัพท์ไปหาทางผู้กำกับการ สน.สุทธิสาร อีกครั้ง ซึ่งท่านก็ดี ก็ย้ำว่า ได้เซ็นคำสั่งให้ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน เดี๋ยวจะสอบถามลูกน้องให้ จนวันจันทร์ที่ผ่านมา ผู้กำกับได้โทรศัพท์มาแจ้งตนเองว่า ให้ท่านรองผู้กำกับการ และร้อยเวรนำส่งสำนวนให้แล้ว


พอวันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา คุณแม่จึงได้โทรไปสอบถามอัยการ ทางอัยการแจ้งว่า ยังไม่ได้รับสำนวน เป็นเพียงการเข้ามาปรึกษาเท่านั้น แต่ทางท่านรองผู้กำกับการแจ้งว่า เป็นการนำส่งสำนวนแบบไม่เป็นทางการ ซึ่งตนเองไม่เข้าใจว่าคืออะไร และไม่แน่ใจว่า สำนวนของลูกชายตนเองติดขัดตรงไหน จึงทำให้ล่าช้าได้ขนาดนี้ ตนเองไม่ได้โทษใคร อยากได้ความยุติธรรม และความรวดเร็ว


คุณแม่บอกว่า อย่างกรณีเหตุการณ์ล่าสุด ที่มีนายสหัสวรรษ เป็นหนึ่งในผู้ต้องหา ที่ถูกขยายผลในคดียิงน้องหยอด และลูกหลงไปถูกครูเจี๊ยบ ก็เป็นผู้ต้องหาลำดับที่ 5 ในคดีฆ่าโดยไตร่ตรอง และซ่องโจร ที่ก่อเหตุในคดีของลูกชายตนเอง ซึ่งตนเองมาทราบจากการเช็กรายชื่อจากข่าวเอง ทำให้ทราบว่า เป็นคนเดียวกับ 1 ใน 14 ผู้ต้องหา คดีลูกชายของตนเอง


ส่วนตัวมองว่า หากมีการดำเนินการรวดเร็วกว่านี้ เด็กกลุ่มนี้อาจจะไม่มีการไปก่อเหตุซ้ำกับใครก็ได้ และผู้ต้องหาทั้ง 14 คน ในคดีของลูกชาย ตอนนี้ ทุกคนใช้ชีวิตตามปกติอยู่ด้านนอก ได้รับการปล่อยตัวหลัง เนื่องจากครบกำหนดการฝากขัง


ตนเองในฐานะผู้สูญหาย มองว่า แค่เราเห็นข่าวว่า เด็กสองสถาบันฆ่ากัน ยิงกัน มันก็สะเทือนใจ เพราะเราเป็นหนึ่งในผู้เสียหาย คนที่ถูกกระทำมันเจ็บปวดจริง ๆ กับการที่สูญเสียของที่เรารักไป แต่กับคนที่กระทำ เขาไม่เคยได้รับความรู้สึกนี้ แต่เขากลับรู้สึกฮึกเหิม คึกคะนอง จากการปลูกฝังจากรุ่นพี่ ที่จริงมันเป็นสิ่งที่ผิด และเชื่อว่า พ่อแม่หลายคนที่สูญเสียลูก เสียใจ มันเหมือนกันถูกเอามีดมาแทงที่หัวใจซ้ำ ๆ 


เราไม่รู้ว่า เป็นขบวนการเป็นกลุ่มก้อน หรือแก๊ง แต่ยิ่งเห็นข่าวว่ามีกองทุน หรือแรงสนับสนุนจากใครสักคน หาเงินมาระดมทุนเพื่อช่วยเหลือคดี มันมีจริงหรือ คนที่ให้ความช่วยเหลือในเรื่องที่มันผิดแบบนี้ เราเป็นมนุษย์ ก็ต้องรู้ว่ามีอะไรผิด อะไรถูก ต้องแยกแยะได้ ไม่ใช่เอาแค่ความสะใจ หรือเรื่องของสถาบัน เปลี่ยนความคิดนี้ได้แล้ว มันล้าหลังแล้ว


คุณแม่ บอกว่า แม่ไม่ได้ต้องการจะโทษใคร แต่แม่จะยังเดินหน้าขอความยุติธรรมให้กับลูก ไม่รู้ว่าความยุติธรรมมีอยู่บนโลกมนุษย์จริงไหม แต่เราพยามทำให้เกิดขึ้นให้ได้


ขณะที่ ทีมข่าวได้สอบถามไปที่ พล.ต.ต. อรรถพล อนุสิทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 ให้ข้อมูลว่า ยืนยันว่า ร้อยเวรได้มีการส่งสำนวนคดีให้กับอัยการเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการให้อัยการพิจารณาสำนวน


เช่นเดียวกับ พ.ต.อ. สุรศักดิ์ ลาวัณย์วิสุทธิ์ ผู้กำกับการ สน.สุทธิสาร ยืนยันว่าสำนวนอยู่ที่อัยการ ขณะนี้ อัยการอยู่ระหว่างการพิจารณาอยู่

-----------
จากกรณี ที่ปรากฎเป็นข่าวว่า 9 ผู้ต้องหา ที่สมคบคิดก่อเหตุยิงนักศึกษาคู่อริจนเสียชีวิต รวมไปถึงคดียิงน้องหยอด และครูเจี๊ยบเสียชีวิตย่านคลองเตย จนนำมาสู่ปฏิบัติการกวาดล้างจับกุมของตำรวจสืบนครบาล ซึ่งภายหลังพบว่า ทั้ง 9 นักศึกษา มีกลุ่มรุ่นพี่ที่อ้างว่า เป็นศิษย์เก่าสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง


วานนี้ (23 พ.ย. 66) ทีมข่าวอาชญากรรม ช่อง 3 ได้พูดคุยกับ รศ.ดร.เสถียร ธัญญศรีรัตน์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน ระบุว่า


ขณะนี้ ทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว และได้สั่งการให้ฝ่ายทะเบียนเช็กข้อมูลเด็กทั้ง 9 คนแล้วว่า ยังมีสถานะเป็นนักศึกษาหรือไม่


เบื้องต้น พบว่า ทั้งหมดมีสถานะพ้นสภาพการเป็นนักศึกษาหมดแล้ว แต่ต้องตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียดก่อนว่า เคยมีประวัติลงทะเบียนเรียนอย่างไร ที่สถาบันหรือไม่


และในช่วงบ่าย วันนี้ (24 พ.ย. 66) ทางสถาบันจะมีการประชุมกับคณะผู้บริหาร และสภาสถาบัน เพื่อหารือเกี่ยวกับรายละเอียดข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น คาดว่า จะมีข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้นในวันพรุ่งนี้


อธิการบดี ระบุอีกว่า สำหรับนักศึกษาปัจจุบันตอนนี้ ไม่พบว่ามีใครที่ตั้งกลุ่มเป็นนักเลงมีเรื่องกับสถาบันคู่อริ


ทางสถาบันเอง ก็มีการตรวจสอบ และกฎระเบียบที่ชัดเจน หากตรวจพบว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ก็มีโทษสถานเดียวคือไล่ออก


ส่วนการออกไปตั้งกลุ่มภายนอกรั้วสถาบันนั้น เรื่องนี้ทางสถาบันอาจจะไม่ทราบ เพราะเป็นเรื่องภายนอก แต่ยืนยันว่า ในปัจจุบันนักศึกษาส่วนใหญ่กว่า 90% ก็เป็นนักศึกษาที่ตั้งใจเรียน ทำผลงาน สร้างชื่อแข่งขัน จนมีชื่อเสียงระดับประเทศ เช่น แข่งขันหุ่นยนต์ และก็มีได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ หรือไปฝึกงานกับบริษัทชั้นนำด้านวิศวกรรมเทคโนโลยีของต่างประเทศ จึงมองว่า นักศึกษาแค่เอาเวลาไปเรียนก็หนักมากแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปก่อเรื่องพวกนี้


ยิ่งเรื่องการถ่ายทอดวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น ปลูกฝังว่าต้องเป็นอริกับสถาบันอื่น ๆ นั้น ทางสถาบันได้คุมเข้มเรื่องนี้อย่างมาก โดยเฉพาะการรับน้อง ที่จะให้เฉพาะรุ่นพี่นักศึกษาปัจจุบัน จัดกิจกรรมเท่านั้น โดยมีอาจารย์คอยควบคุมกิจกรรม และสมาคมศิษย์เก่าจะเน้นเข้ามาให้ทุนการศึกษา หรือช่วยเหลืออุปถัมภ์รุ่นน้องเป็นหลัก ไม่มีการส่งเสริมค่านิยมเป็นอริต่างสถาบันอีกแล้ว


ทั้งนี้ แค่การเรียนการสอนนักศึกษาก็หนักมากพอแล้ว เพราะหลักสูตรการเรียนที่สถาบันค่อนข้างจะยาก และหนัก ฉะนั้น จะเอาเวลาไหนไปปลุกระดมเป็นอริกับสถาบันอื่น พวกที่ก่อเหตุก็เป็นเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้น ที่ไม่ตั้งใจเรียน หรือแค่มาเรียนเอารุ่น ซึ่งคนพวกนี้หากตรวจพบเจอ ก็ไล่ออกสถานเดียว


ส่วนพวกรุ่นพี่ตามที่ปรากฎเป็นข่าวว่า เป็นกลุ่มคนที่ให้การสนับสนุนกลุ่มผู้ก่อเหตุ จนทำเป็นขบวนการนั้น อธิการบดีเชื่อว่า  น่าจะเป็นกลุ่มคนที่แอบอ้างเอาชื่อสถาบันไปก่อเหตุมากกว่า  เพราะจากหลายกรณีในอดีต ที่พบว่ามีการอ้างว่าเป็นศิษย์เก่าเทคโนปทุมวัน แต่พอไปตรวจสอบ กลับไม่พบว่าเคยมีประวัติเรียนที่สถาบัน หรืออาจจะเคยลงทะเบียนเรียนที่สถาบันจริง แต่เป็นการเรียนในระยะสั้น หรือมาสมัครเพื่อเอารุ่น หรือเคยเป็นนักศึกษาจริงแต่ถูกไล่ออกพ้นสภาพออกไป


ซึ่งกลุ่มคนพวกนี้ ก็มักจะเอาชื่อสถาบันไปแอบอ้างเพื่อก่อเหตุ โดยอธิการบดี ย้ำว่า บุคคลที่จะขึ้นชื่อเป็นศิษย์เก่าในทะเบียนของสมาคมศิษย์เก่าได้ จะต้องสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรที่กำหนด  ถึงจะสามารถเรียกเป็นศิษย์เก่าเทคโนปทุมวันได้จริง


อธิการบดี ยังระบุเพิ่มเติมว่า ตนรู้สึกเสียใจที่สถาบันตกเป็นประเด็นทางสังคม จนทำให้ภาพลักษณ์ชื่อเสียงที่สถาบันเทคโนโลยีปทุมวันสร้างมากว่า 91 ปี ได้รับความเสียหาย


ที่ผ่านมา ทางสถาบันได้มีมาตรการป้องกันต่าง ๆ ร่วมมือกับทุกองค์กร และตำรวจ เพื่อปรับปรุงภาพลักษณ์ ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทเหมือนเช่นในอดีต


และทุกวันนี้ สถาบันได้เน้นส่งเสริมให้นักศึกษามีความเป็นเลิศด้านวิชาการ ส่งแข่งขันด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยี จนได้รางวัลระดับประเทศมากมาย มีนักศึกษาที่ได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศจำนวนมาก และบ่มเพาะศิษย์เก่าที่มีคุณภาพ และทำคุณประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองอย่างมาก


แต่ชื่อเสียงต้องมาพังทลายเสียภาพลักษณ์อีกครั้ง เพราะพวกผู้ก่อเหตุกลุ่มนี้ ซึ่งทางสถาบันพร้อมให้ความร่วมมือกับทางตำรวจทุกประการ เพื่อนำข้อมูลต่าง ๆ ไปเป็นพยานหลักฐาน เอาผิดพวกผู้แอบอ้างสถาบันเหล่านี้ และจะให้ฝ่ายกฎหมายของสถาบันไปแจ้งความเพิ่มกับพวกผู้ก่อเหตุกลุ่มนี้ ที่แอบอ้างชื่อของสถาบัน จนได้รับความเสียหาย รวมทั้ง จะวางแผนแก้ปัญหากับนักศึกษาของสถาบันร่วมกับทุกภาคส่วนต่อไป

-------------





รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/FDi77k2KEfU










คุณอาจสนใจ

Related News